เชิญลงโฆษณาฟรี

สำหรับท่านที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้วขอเชิญลงโฆษณาฟรี
รายละเอียดดังนี้
ลงโฆษณาฟรี

3/18/2011

ทำขนมไทยใส่กล่องส่งขาย

ธุรกิจทำขนมไทยใส่กล่องขาย จุดเด่น เป็นอาชีพเสริมที่ทำอยู่กับบ้าน

การดำเนินกิจการ
- สำรวจตลาด ร้านค้าที่จะสามารถนำขนมไปวางขายได้
- ตัดสินใจว่าจะทำขนมอะไรจำหน่ายบ้าง ควรเปลี่ยนไปในแต่ละวันเพื่อไม่ให้ลูกค้าเบื่อ
- ใช้วิธีการฝากขาย เหลือแล้วรับคืนเพราะในช่วงแรก คงไม่มีใครเสี่ยงซึ้อขาดทุน


ขายขนมไทย


ภาพจาก moph.go.th


การลงทุน

- เริ่มต้น3,000 บาท


อุปกรณ์ประกอบด้วย
-เตา หัวเตา รวมฐาน ประมาณ 1,๐๐๐-1,500 บาท (ยังรวมค่าถังแก๊ส)
-ลังถึงสำหรับนึ่ง 2 ชั้น เส้นผาศูนย์กลาง 24 นิ้ว 750-1,000 บาท
-กระทะ เบอร์ 16 350 บาท
-กำไรประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์
-การทำครั้งแรก ๆ ซื้อน้ำตาลทรายกับแป้งอย่างละ 5 กิโลกรัม น่าจะพอ ส่วนอุปกรณ์อึ่น ๆ เป็นอุปกรณ์ในการทำอาหารทั่วๆไป
-ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ เป็นอุปกรณ์การทำอาหารทั่ว ๆ ไปจะเห็นว่าการเริ่มต้นเข้าสู่อาชีพนี้ ไม่ใช่เรึ่องยากเลย ทั้งนี้ต้องมีความพยายามเป็นที่ตั้ง
แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้จะย่ำนเย่ แต่เราสามารถสร้างเศรษฐกิจภายในครอบครัวให้ดีขึ้นได้ด้วย

**หมายเหตุ

- หากไม่ใช่มืออาชีพในการทำขนม ช่วงแรกอาจจะลองทำกินเ่องหรือทำให้เพื่อนๆทดลองชิมก่อน โดยลองทำจากสูตรในหนังสือตำราอาหารทั่วไป และเริ่มต้นจำหน่ายจากน้อย ๆ ไปก่อนที่สำคัญ อย่านำขนมไม่ดี ขนมเสียไปวางขาย เด็ดขาด เพราะจะทำให้เสียลูกค้าตลอดไป พอเริ่มชำนาญทำหลายๆครั้ง ก็จะจับทางได้ จากนั้นลองทำจำหน่าย โดยเริ่มแต่น้อย อาจจะไปฝากวางตามร้านขายข้าว หรือร้านขายขนมอึ่น ๆ ซึ่้ใเรื่องการเจาะตลาดคงไม่ยาก เพราะเป็นสินค้าที่ขายได้ง่าย ทีสำคัญต้องแน่ใจว่ารสชาติเข้าที่แล้วและการจะดูว่ารสชาติเข้าที่หรือยัง ก็ให้เพื่อน ๆ หรือ ญาติช่วยกันชิม แล้วถามความคิดเห็น นำความคิดเห็นนั้นมาปรับปรุง ถือหลักกลาง ๆ ไม่เอนเอียงไปที่คนใด คนหนึ่ง


การลงทุน ในระยะเริ่มแรกอยูที่ประมาณ 3,๐๐๐บาท

สูตรขนมไทยแบบต่างๆ

*ขนมตาล
ขนมหวานในคราวนี้ออกจะยุ่งยากสักหน่อย แต่หากได้ชิมขนมที่สำเร็จเสด็จออกมาจากเตาแล้ว รับรองหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทีเดียว
ส่วนผสม
ผลตาลสุก2-3 ผล
น้ำตาลทราย 6 ถ้วยตวง
กะทิ 6 ถ้วยตวง
แป้ง 6 ถ้วยตวง
มะพร้าวขูดพอประมาณ

วิธีการทำ
1.นำลูกตาลมาลอกเปลือกออกแล้วยีเอาแต่เนื้อ ใส่ถุงแป้งแขวนไว้ 12 ชั่วโมง เพื่อให้สะเด็ดน้ำ
เหลือแต่เนื้อล้วน ๆ ก่อนคิดจะทำขนมนี้ขายต้องเตรียมการล่วงหน้า 1 วัน
นำน้ำตาลไปเกี่ยวกับกะทิจนน้ำตาลละลา็ยระหว่างที่เกี่ยวอย่าใช้ไฟแรง เมื่อได้ส่วนผสมน้ำมาแล้ว
นำมาผสมกับเนื้อตาล 2 ถ้วยตวง และนวดกับแป้งจนได้ที่ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปตั้งทิ้งไว้กลางแดด
12 ชั่วโมง เพื่อให้เนื้อขนมขึ้นฟู ขั้นตอนนี้ หากต้องการตั้งทิ้งไว้ตอนกลางคืนจะใช้ผงฟูช่วยด้วยก็ได้
ก่อนนำไปนึ่ง ให้โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดผสมเกลือเล็กน้อย ขนมตาลใช้เวลาในการนิ่งนาน 15 นาที
จับเวลานับแต่น้ำเดือด

*ข้าวต้มผัด (ข้าวต้มมัด)
ข้าวต้มผัด หรือข้าวต้มมัด เรียกได้เหมือนกัน ทั้งนีอาจจะเป็นลักษณะของขึ้นชนิดนี้ที่มีการมัด 2เปลาะ จึง
เรียกว่า ข้าวต้มมัด หรือลักษณะการนำข้าวเหนียวไปผัดกับกะทิและน้ำตาลก่อนจึงเรียกว่าข้าวต้มผัด
ขนมไทยชนิดนี้ มีมาแต่โบร่ำโบราณ เป็นขนมที่ออกจะไม่ค่อยเหมือนขนมอึ่น ๆ สักเท่าไหร่ เพราะกินแล้วหนักท้องกินแล้วอิ่ม เหมือนกินข้าว คนสมัยก่อนที่ต้องเดินทางไกล มักจะนำขนมนี้ ไปกินระหว่างทาง

ข้าวต้มมัด ยังมีคนทำขายกัน หากินได้ไม่ยาก ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน ไม่ได้เป็นขนมโบราณที่กำลัง
จะเลือนหายอะไรอย่างนั้น แต่หาที่อร่อย ๆ ออกจะยากสักหน่อย ฉะนั้น เรามาทำกินเองดีกว่า เผลอ ๆ ออก
ขายได้เงินอีก


ข้าวต้มมัด
ส่วนผสม
1. ข้าวเหนียว 5 กิโลกรัม
2. กะทิ (จากมะพร้าว 5-6 ลูก)
3. น้ำตาลทราย 800 กรัม
4. กล้วยน้ำว้าสุก ๆ (สุกมาแล้วสัก 2 คืน)
5. เกลือป่น
6. ใบตอง
7.ถั่วดำ
8.ตอกไม้ไผ่ ใช้มัดข้าวต้ม

วิธีการทำ
1.นำข้าวเหนียวมาล้างให้สะอาด ช่วงที่ล้างนี้มีข้อสังเกตนิดหนึ่งคือ ข้าวเหนียวที่ตักออกมาใหม่ ๆ ใส่
กะละมัง ให้น้ำให้พอดี น่ถืงกับท่วม ปริมาณน้ำขนาดนี้ให้จำไว้ เพราะช่วงที่เตรียมกะทิสำหรับผัด ใช้กะทิ
ในปริมาณนี้เช่นกัน เมื่อล้างจนสะอาดแล้ว (สัก 2-3 ครั้ง) แช่ไว้สัก ประมาณ 10 นาที ราวขึ้นมาพักไว้ในกะละมัง
2.เคี่ยวกะทิจนเดือด ใส่ข้าวเหนียวลงไปผัด จัดจนแห้ง (อย่าใช้ไฟแรง) แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปผัดต่อ ผัดจนน้ำตาล รัดเม็ดข้าวดีแล้ว โรยเกลือนิดหน่อย ยกลงพักไว้
3.การห่อข้าวต้มมัด ตักข้าวเหนียววางบนใบตอง ตามด้วยกล้วยน้ำว้าผ่าซีก (ถ้าลูกใหญ่ ผ่า 3ซีก ลูกเล็กผ่า 2 ซีก) ตามด้วยข้าวเหนียวทับไปอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจะประดับด้วยถั่วดำอีกก็ได้ แต่ต้องนำไปต้มมาก่อนแล้วจึงห่อ มัดด้วยตอก
4.นำไปเรียงในลังถึง ใช้เวลานึ่งชั่วโมงเศษ ๆ ก่อนยกลง นำมาแกะดูสักมัดหนึ่้ใก่อนว่าข้าวเหนียวสุกดีหรือไม่

ข้าวเิีหนียวเปียกกะทิ
ข้าวเิีหนียวดำเปียกกะทิข้าวเหนียวดาเปียกกะทิ เป็นขนมชนิดหนึ่งที่ทำง่ายมาก ชวนจะอร่อยหรือไม่นั้น อยู่ที่ฝีมือของคนปรุงแล้วล่ะ ขนมชนิดนี้ควรระวังให้มากเรื่องความหวานเพราะหากหวานมากเกินไป บางคนไม่ชอบ

ส่วนผสม
ข้าวเหนียว 500 กรัม
น้ำตาลทราย 500 กรัม
กะทิสด 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น

ขั้นตอนการทำ
นำข้าวเหนียวดำมาต้มพอสุกแล้วใส่น้ำตาลทรายพอประมาณ อย่าใส่น้ำตาลทรายก่อน
เพราะน้ำตาลจะรัดข้าวเหนียว ทำให้ไม่สุกส่วนกะทิ นำมาเคี่ยว (ไม่ต้องนาน) และเติมเกลือ
นิดหน่อย ก็ใช้ได้

*ข้าวเหนียวเปียกมะพร้าวอ่อน
ส่วนผสม
ข้าวเหนียว 500 กรัม
มะพร้าวอ่อน
น้ำตาลทราย 500 กรัม
กะทิสด 2 ถ้วยตวง
เกลือ

**อาจดัดแปลงเป็นลำไยหรึอสาคูได้ ถ้าเป็นสาคูต้องต้มให้สุกก่อน
ขั้นตอนการทำ

ล้างข้าวเหนียวให้สะอาด นำมาต้ม (ลักษณะการทำเหมือนทำข้าวต้มธรรมดา) เมื่อเมล็ืดข้าวพองตัวแล้ว
ใส่น้ำตาลทราย ตามด้วยกะทิสด และมะพร้าวอ่อนเวลาเสิร์ฟให้หยอดหน้าด้วยกะทิข้น ซึ่งมีวิธีการทำคือ คั้น
เอาแต่หัวกะทิ ผสมด้วยเกลือ หากต้องการให้กะทิอยู่ได้นานขึ้น ให้นำไปตั้งไฟเคี่ยว โดยใส่แป้งมันละลาย
น้ำลงไปนิดหน่อย จะทำให้กะทิข้น และน่ากินมากขึ้น(การเคี่ยวกะทินี้ไม่ต้องนานมาก แค่พอกะทิเดือดและ
ข้นดีแล้วให้ยกลง)

*มะพร้าวแก้ว
มะพร้าวแก้ว เป็นขนมหวานพื้นบ้าน วัตถุดิบในการทำมีเพียง มะพร้าวและน้ำตาล 2 อย่างเท่านั้นมะพร้าวแก้วมีวิธีการทำที่ไม่ยากเลย เพียงแต่หามะพร้าวทึนทึก (มะพร้าวกลางแก่กลางอ่อน) มาขูดให้เป็นเส้นยาว ลงไปเชื่อมในน้ำเชื่อมน้ำเชื่อม ที่มีส่วนผสมของ น้ำต่อน้ำตาล 1:2เคี่ยวจนขึ้นดีแล้ว จึงใส่มะพร้าวลงไป คอยให้น้ำตาลเข้าในเนื้อมะพร้าวจนขึ้นเกล็ดนั่นแหละจึงใช้ได้ จากนั้นนำขึ้นมานำซึ่งให้แห้งดี แล้วเก็บเข้าขวดโหลที่มีฝาปิดสนิท จะเก็บได้หลายวัน

*ขนมกล้วย
ส่วนผสม
1.กล้วยน้ำว้า 1 หวี (10-11ผล)เลือกกล้วยที่ค่อนข้างงอมแต่ไม่ถึงกับงอมจนเละ
2. แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม
3. แป้งมันสำปะหลัง 400 กรัม
4. น้ำตาลทราย 600 กรัม
5. มะพร้าวห้าว 500 กรัม
6. กะทิ 1 ถ้วยตวง
7. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.นำกล้วยกับแป้งข้าวเจ้ามานวดจนเหนียว ใส่น้ำตาลทราย ใส่น้ำนิดหน่อยพอให้ตักได้ข้นๆ
2.จากนั้นจึงใส่กะทิ มะพร้าว คนให้เข้ากัน หากไม่มีมะพร้าวห้าวใช้มะพร้าวขูดใส่แทนได้ มะพร้าวห้าวที่ใช้หั่นเป็นชิ้นๆไม่ต้องหนามาก
3.ตักใส่ใบตองแล้วห่อ จะห่อแบบสี่เหลี่ยม หรือใส่เป็นกระทงก็ได้แล้วนำไปนึ่งนาน 40 นาที

หรืออาจจะนำไปทอดแทนก็อร่อยไม่แพ้กัน หรือจะแบ่งทั้งนึ่ง ทั้งทอด ก็ได้
ขนมอร่อย ไปอีกแบบ

*ทับทิมกรอบ
ทับทิมกรอบ ขนมชนิดนี้ จะมีสีสันสวยงามนาม และอร่อย หวานเย้นชื่นใจ เหมาาะจะกินหน้าร้อน

ส่วนผสมของทับทิมกรอบ
แห้ว หรือมันแกว 1/2 กิโลกรัม
แป้งมัน 1 ถุง
น้ำตาลทราย 3/4 กิโลกรัม (ต้องกาพวาพากหรือน้อยเพื่อลดจำนวนได้)
น้ำสะอาด
กะทิสด (หัวกะทิ)
ขนุน

วิธีการทำ
ขั้นแรก หั่นมันแกว หรือแห้ว เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ จากนั้นใส่น้ำหวานสีแดง เพื่อให้ดูเป็นเมล็ดทับ
ทิมมากขึ้น และน่ากินกว่าสีขาวล้วน จากนั้นนำไปคลุกด้วยแปังมัน แล้วพักไว้
ต้มน้ำให้เดือด ใส่มันแกว หรือแห้วลงไป พอสุกจะลอยขึ้นมาเอง ตักใส่ภาชนะไว้
ส่วนน้ำเชื่อม ให้ต้มน้ำใส่น้ำตาลทราย หวานมากน้อยตามต้องการ เมื่อยเดือด ยกลงพักไว้จนเย็น
ฉีกขนุนชิ้นตามยาวใส่ลงไป ส่วนผสมสุดท้ายคือ กะทิ ให้นั้นเอาแต่หัวกะทิไว้หยอดหน้าทับทิมกรอบ จะทำให้ขนมหวานมัน เสิร์ฟใส่ถ้วยเล็กพร้อมน้ำแข็งบดละเอียด


*กล้วยบวชชี
กล้วยบวชชีเป็นขนมพื้นบ้าน ทำง่ายที่สุด อร่อยที่สุดและราคาถูก

ส่วนผสมกล้วยบวชชี
กล้วยน้ำว้า
กะทิ
น้ำตาลทราย
เกลึอป่น


วิธีทำ
กะทที่คั้นได้ แยกไว้ เป็นหัวกะทิกับหางหางกะทิใส่หม้อ เคี่ยวสักพักใส่กล้วยใส่น้ำตาล
ทราย เกลือ ก็ใช้ได้แล้ว แต่ระวังอย่าใส่น้ำตาลมากจะหวานเกินไป กล้วยบวชชีที่อร่อยน่าจะออกรสหวาน
ปะแล่ม ๆ เค็มนิดหน่อย และมันพอควรในการทำกล้วยบวชชีนั้น ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็น
ช่วงเคื่ยวกะทิ อย่าให้กะทิแตกมันเด็ดขาด มิฉะนั้นจะมันมาก และกล้วยที่ใช้ในการทำขนมนี้ คือกล้วยน้ำว้าที่ ห่าม ๆ หน่อย อย่าใช้กล้วยสุกเกินไป จะไม่อร่อย

*ขนมดอกจอก
ส่วนผสม
แป้งสาลี 4 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
เกลือ 3 ช้อนชา
งาดำ 1/2 ถ้วยตวง
แป้งมัน 2 ช้อนตวง
ไข่แดง 2 ฟอง
มะพร้าว 200 กรัม
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง
น้ำมันสำหรับทอด


วิธีการทำ
นำแป้งทั้งหมดมาผสมกัน ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือ งาดำ ไข่แดง มะพร้าว หัวกะทิ และน้ำปูนใส คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี ้
จากนั้นนำลงทอดในกระทะโดยใช้พิมพ์ พิมพ์สำหรับขนมดอกจอกโดยเฉพาะ จุ่มพิมพ์ลงในแป้ง อย่าจุ่ม
พิมพ์ให้มิดแป้ง จากนั้นนำลงในน้ำมัน ยกพิมพ์ขึ้น ขนมผุดไปเอง คอยกลับขนม 1 ครั้ง พอเหลืองแล้วตัก
ขึ้น วางบนกระดาษสับมัน


นอกจากนี้ยังมีสูตรขนมไทยอีกมากมาย ติดตามได้ที่ http://baankhanom.blogspot.com/ มีสูตรขนม ใหม่ๆ อัพเดตเพิ่มเติมตลอดเวลา