โลกยุคปัจจุบันการแข่งขันทุกๆเรื่องมีสูงมาก และนับวันก้จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ การจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ผู้ทำต้องคิดและวางแผนมาแล้วเป้นอย่างดี เพราะคู่แข่งทางธุรกิจของเราก้วางแผนไว้แล้วเช่นกัน การประชาสัมพันธ์ธุรกิจเป็นเรื่องที่จำเป็น วันนี้เรามาทำความรรู้จักกับ Event Marketing
คำว่ากิจกรรมทางการตลาด(Marketing Activities) หมายถึง การสร้างแรงจูงใจหรือความน่าสนใจ
เพื่อที่จะให้ทั้งสามฝ่ายคือผู้ซื้อ ผู้ขาย และตัวสินค้า ได้มีโอกาสพบกันอย่างรวดเร็ว ที่ต้องบอกว่าอย่างรวดเร็วก็เพราะความเป็นตลาดเสรีซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน ดังนั้นเจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของสินค้าจึงต้องแสวงหากลุ่มลูกค้าของตัวเอง ด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะถูกคู่แข่งแย่งไปซะก่อน
ในเมื่อการตลาดมันหมายถึงโลกระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ที่มีสินค้าเป็นสื่อกลาง ไม่มีผู้ขายก็ไม่มีผู้ซื้อ ไม่มีผู้ซื้อก็ไม่จำเป็นต้องมีตลาดที่จะต้องวางสินค้าหากว่ามันธรรมดาเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น เหมือนตลาดสดที่มีเพียงเเม่ค้านำสินค้ามาวางโชว์ จากนั้นรอให้ลูกค้าเดินผ่านมาแล้วเลือกซื้อ ตลาดลักษณะนั้นคงเหมาะกับสินค้าประเภทบริโภคในกลุ่มแคบ แต่หากเป็นตลาดที่มีสินค้า และบริการหลากหลายและซับซ้อนเกินกว่านั้นมันคงจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่จะสร้างความเร้าใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายยิ่งขึ้นกิจกรรมทางการตลาดที่เรียกว่าอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง (Event Marketlng) จึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดชอบหยิบมาใช้
ยุคที่ผ่านมาเราอาจเห็นกิจกรรมทางการตลาดไม่หวือหวานัก อาศัยหลักการโฆษณา (Advertisement) และประชาลัมพันธ์ (Pubic Relation)
ตามสื่อหลักต่างๆ ที่หวังผลได้ อย่างเช่นโฆษณาทางฟรีทีวี ทางวิทยุ ป้ายโฆษณา รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ด้วยกิจกรรมแบบพื้นๆเช่นการออกบูธ การจัดคอนเสิร์ต เป็นต้น จึงดูเป็นรูป แบบเก่าที่ถึงแม้จำเป็นต้องใช้ แต่นักการตลาดก็ต้องใช้เหตุและผลมากขึ้นกว่าเดิม ประมาณว่า...ผมมีสินค้าดีๆมาขายแต่ไม่ใช่อะไรๆ ก็จะให้โฆษณาแต่ในทีวี ในวิทยุ อยู่ท่าเดียวเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ กับ A.E. (Account executives) ต่างๆ ด้วยนี่ครับ เพราะต่อไปจะต้องทำงานหนักและมีเหตุมีผลมาก ขึ้น อย่าขายด้วยการท่องจำเด็ดขาดกิจกรรมทางการตลาดจึง เป็นเรื่องที่ท้าทายครีเอทีฟเป็นอย่างมากเพราะมันจำเป็นที่จะต้องสรรหาสิ่งแปลกใหม่ เพื่อให้ดูทันลมัยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งกิจกรรมแต่ละอย่างมันจะต้องจับต้องได้ไม่ใช่มีแต่ไอเดียอย่างเดียว แต่ไม่เกิดผลตามที่ต้องการ
ดังนั้นนับจากนี้ไป ท่านจะได้เห็นกิจกรรมทางการตลาดที่ละลานตา และหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจแบบไม่ธรรมดา อะไรก็ตามที่คนไม่กล้าเล่นก็จะมีครีเอทีพบางคนนำมาเล่น อย่าง เช่นการนำเอาเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา เรื่องของเผ่าพันธุ์สีผิว เรื่องของกษัตริย์ มาเป็นคอนเซ็ปต์นำเสนอหรืออะไรที่ออกไปทางเซ็กซ์ที่เปิดเผย อย่างเช่นมีคนเดินแก้ผ้าโปรโมทครีมกันแดด การทำปฏิทินนู้ดออกแจกกลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเจ้าของแบรนด์ จึงมิควรมองข้ามความสำคัญของกิจกรรมการตลาด ซึ่งความจริงมันยังมีรูปแบบที่หลากหลาย แล้วแต่นักการตลาดจะหยิบขึ้นมาใช้ให้ เหมาะกับสินค้า และสถานการณ์ของตน รวมทั้งงบประมาณที่จะต้องใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การจัดประกวด การจัดการแข่งขัน การจัดฉลอง การทำแรลลี่ การสัมมนา เป็นต้น ถ้าสามารถสร้างสรรค์ได้ดี
กิจกรรมที่ทำนั้นมีค่าควรแก่การเป็นข่าว จะได้สื่อมวลชนมาเป็นพวก และได้ลงข่าวแบบฟรีมีเดียเหนือสิ่งอื่นใด การจัดกิจกรรมแบบนี้สามารถเกิดการขายในบริเวณกิจกรรมนั้นๆ ได้ด้วย
เมื่อใดจึงถึงเวลาจัดอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง
1. เมื่อต้องการเป็นข่าวหรือต้องการเปิดตัวสินค้าใหม่ เพราะอย่างที่บอกละครับ เมื่อเกิดการจัดกิจกรรมก็มักจะมีการเชิญสื่อมวลชนมาทำข่าว ซึ่งก็จะได้ข่าวประชาสัมพันธ์ฟรี โดยยังไม่ต้องเร่งลงทุนทำสื่อโฆษณา
2. เมื่อเรารู้สึกว่าสินค้าของเราเริ่มนิ่ง หมายถึงยอดขายตกหรือเรียบเสมอ จำเป็นทีเราจะต้องสร้างความตื่นเต้นซะหน่อย
3. เมื่อเราต้องการทำโปรโมชั่นที่ต้องการความแรง โดยมุ่งหวังให้เข้าถึงกลุ่มโดยตรงหรือเข้าถึงอย่างรวดเร็วชนิดประชิดตัว
4. เมื่อเราต้องการแต่งตัวหรือสร้างภาพลักษณ์สินค้าใหม่
5. การจัดกิจกรรมการตลาด ถึงแม้มุ่งหวังที่กลุ่มลูกค้า แต่ความจริงจะได้ความกระตือรือร้นของพนักงานในองค์กรด้วย ถือเป็นการกระตุ้นต่อมแห่งความกระตือรือร้นของพนักงานไปในตัว
โดยเราจะต้องพร้อมในเรื่องต่างๆก่อนจัดกิจกรรมดังนี้
1. พร้อมเรื่องของคอนเซ็ปต์(concept) ในการจัดงาน การจัดกิจกรรมการตลาดที่ดีนั้นจะต้องเข้าใจคำวาคอนเซ็ปต์เพราะมันคือหัวข้อเรื่องที่จำเป็นจะต้องกำหนดให้โดนหรือตรงใจกับกลุ่มที่เราต้องการ
2. พร้อมในเรื่องงบประมาณเพราะการจัดกิจกรรมการตลาดแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นลักษณะใดจะใช้เงินค่อนข้างสูง
3. พร้อมในเรื่องทีมงาน หมายถึง ทีมงานที่เข้าใจในกิจกรรมประเภทนี้นะครับยกตัวอย่างแค่โฆษกของงานก็พอ หากไม่เก่ง ไม่เร้าใจ ไม่ทันสมัยแล้วละก็จบข่าวกันรวมทั้งบรรดาพริทตี้ (Pretty)นั่นด้วย จะต้องคัดสรรเป็นอย่างดีหากต้องมี
4. พร้อมในเรื่องการประสานงาน ไม่ว่าจะเป็นกับเจ้าของสถานที่ กับสื่อมวลซน กับข้อห้ามต่างๆ อีกมากมายโดยเฉพาะการจัดในบริเวณที่สาธารณะ
5. พร้อมในเรื่องของผลจากการจัดงาน หมายถึงแต่ละฝ่ายในองค์กรจะต้องพร้อมไม่ว่าจะเป็น สต็อกสินค้า การขนส่งฯลฯ เป็นต้น หากกิจกรรมที่เราจัดมันเวิร์คขึ้นมาจะทำอย่างไรให้ทันกับ
กระแส ลองถามตัวคุณในฐานะที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดูซิครับ ว่าถึงเวลาที่จะสนุกหรือยัง
5/31/2011
5/28/2011
ทำผักดองขาย
ใครที่ยังตกงาน หรือต้องการหารายได้พิเศษทำ ขายผักดอง ทำส่งตามร้านอาหารหรือตลาดก็ได้เลยครับ
การทำผักดองนั้นบางท่านอาจจะบอกว่า ซื้อกินดีกว่าสะดวกดี แต่อย่าลืมนะครับว่า ทำเองก็สะอาดกว่าเหมือนกัน แถมยังช่วยเราประหยัดได้ ถ้าทำขายยิ่งดี มีรายได้เพิ่ม
มั่นใจได้ เพราะทำเองกับมือ จะสกปรกก็อยู่ที่ตัวเองแล้ว สำหรับการทำผักดองนั้น มีข้อแนะนำว่า อาจจะหาขวดแก้วสวย ๆ ผูกโบ อะไรทำนองนั้น หรือจะทำแจก ผู้รับก็ยินดี
ก่อนจะทำขายหรือแจก ควรทดลองชิม กินเองสัก 1-2 ครั้ง ก่อน เพื่อความมั่นใจในรสชาติ วันนี้ มีสูตรผักดองมาฝาก 3 อย่างครับ ทดลองทำตามได้ไม่ยากเย็นอะไร
1.ผักกาดเขียวปลีดอง
ส่วน ผสม
1.ผักกาดเขียวปลี 1 กิโลกรัม
2.เกลือ 75 กรม
3.น้ำ 1 ลิตร
4.น้ำตาลทราย 1ช้อนโต๊ะ
5.เกลือสำหรับเคล้าผัก 40 กรัม
วิธีทำ
1.ล้างผักกาดให้สะอาด นำไปตากให้เหี่ยวเคล้าเกลือให้ทั่ว
2.ต้มน้ำเกลือ (เกลือ75 กรัม/น้ำ1 ลิตร)ให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น
3. เอาผักใส่ไห หรือโหล เทน้ำเกลือทีเตรียมไว้ลงไปให้ท่วม เก็บไว้ 10-15 วันประทานได้
ตอนนี้คนตกงานมากงานลักษณะนี้ จึงได้รับความสนใจสูงทีเดียว
2.ขิงดอง
ขิงดอง ดูจะเป็นเครื่องเคียงกับไส้กรอกอีสานที่พื้นที่สุด ที่ว่า ขิงดอง นำมาแกล้มกับอาหารตาง ๆ ได้รส
ชาติ เช่นกันขิงดองที่เห็นมีสีออกแดง ๆ นั้น บางเจ้าใส่สีเสียจนเว่อร์ ดูน่ากลัวมากกว่าค่ากิน แต่สูตรขิงดองวันนี้ มีสีออกชมพูเรื่อๆ
สวยเชียว แถมไม่ใส่สานกันเสียด้วย ขิงดอง ก่อนอื่นคุณต้องเตรียมส่วนผสมเหล่านี้
1.ขิงอ่อนเป็นแง่ง ๆ สัก 1 กิโลกรัม
2.น้ำตาลทรายสัก200 ขีด
3.เกลือ 3-4 ช้อนโต๊ะ
4.มะนาวอีก 3 ผลใหญ่
วิธีทำ
1.เริ่มต้นล้างขิงให้สะอาด แล้วหั่นตามยาวบาง ๆ (บา้งใที่สุดเท่าที่จะบางได้ แต่ไม่ใช่หั่นฝอย)
2.นำมาเคล้ากับเกลือเคล้าจนขิงนิ่ม แล้วล้างน้ำ บีบน้ำออกวางผึ่งในตะแกรงไว้
3.นำขิงใส่ภาชนะ บีบมะนาวให้ทั่ว วิธีนี้ขิงจะออกสีแดง ๆ โดยไม่ต้องใช้สีหรือน้ำส้มสายชู มะนาวจะเป็นตัวทำให้เปรี้ยว
4.น้ำเชื่อมที่จะใช้ดองขิง ประกอบด้วย น้ำ 1 ถ้วยตวง น้ำตาล200 กรัม เกลือ 3 ช้อนชา ผสมกันจนเข้ากันดี
หาขวดแก้วสะอาด ๆ มีฝาปิด เรียงขิงในขวดแก้วเทน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ ปิดฝาให้สนิท แช่ไว้ในตู้เย็นจะ
เก็บไว้ได้นาน
3.ทำผักดอง 3 รส
ผักดอง 3 รสนั้นทำกินง่าย ทำขายรวย ถามถึงกิมจิ หรือผักดองที่กินแก้เลี่ยนได้ดี ทำมาจากผักกาดหางหงส์ เป็นสูตรของเกาหลี และต้องมีเครึ่องปรุงที่ค่อนข้างยุ่งยาก ในระดับนี้
เรามาทำแค่ผักดอง 3 รส ก่อนดีกว่า
ส่วนผสมของผักดอง 3 รส มีดังนี้
1. หัวผักกาด1 กิโลกรัม
2. แคร์รอต 300 กรัม
3. หอมแดง 200 กรัม
4. พริกชี้ฟ้า เขียว แดง เหลือง 200 กรัม
5. น้ำตาลทราย 4 ถ้วยตวง
6.น้ำส้มสายชู 3 ถ้วยตวง
7. เกลือ ? ถ้วยตวง
8. น้ำ ? ถ้วยตวง
วิธี ทำ
1.ล้างหัวผักกาดให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นเป็นแท่งยาว ขนาด 2 นิ้ว
2.ปอกหอม ผ่าครึ่ง พริกล้าง หั่น 3-4 ท่อนแครอตหั่นเหมือนหัวผักกาด
3.นำผักไปแช่กรดมะนาว 5 % (กรดมะนาว 5 กรัม ในน้ำ1 ลิตร) นาน 20 นาที
4. จากนั้นแช่ในแคลเซียมคลอไรด์ 5 %(แคลเซียมคลอไรด์ 5 กรัม ในน้ำ 1 ลิตร) นาน 20นาที
5.เมื่อแช่แล้วนำผักไปลึกในน้ำเดือด แคร์รอตลวกสัก 2 นาที ส่วนผักอื่น ๆ 1 นาที นำขึ้นผึ่งในตะแกรงวางให้สะเด็ดน้ำ
6. เตรียมน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือ เข้าด้วยกัน นำไปต้ม ทั้งให้เย็น
7. เรียงผักในขวดโหล เทน้ำเชื่อมลงไป ใช้ถุงพลาสติกปิดทับ และนำถุงพลาสติกอีกใบใส่น้ำทับไว้เพื่อ
ไม่ให้ผักลอยขึ้นมา (ถุงใบแรกกันเมื่อน้ำในถุงแตกจะได้ไม่ลงไปปนในน้ำผักดอง) 3 วัน นำขึ้นมากินได้
การทำผักดองนั้นบางท่านอาจจะบอกว่า ซื้อกินดีกว่าสะดวกดี แต่อย่าลืมนะครับว่า ทำเองก็สะอาดกว่าเหมือนกัน แถมยังช่วยเราประหยัดได้ ถ้าทำขายยิ่งดี มีรายได้เพิ่ม
มั่นใจได้ เพราะทำเองกับมือ จะสกปรกก็อยู่ที่ตัวเองแล้ว สำหรับการทำผักดองนั้น มีข้อแนะนำว่า อาจจะหาขวดแก้วสวย ๆ ผูกโบ อะไรทำนองนั้น หรือจะทำแจก ผู้รับก็ยินดี
ก่อนจะทำขายหรือแจก ควรทดลองชิม กินเองสัก 1-2 ครั้ง ก่อน เพื่อความมั่นใจในรสชาติ วันนี้ มีสูตรผักดองมาฝาก 3 อย่างครับ ทดลองทำตามได้ไม่ยากเย็นอะไร
1.ผักกาดเขียวปลีดอง
ส่วน ผสม
1.ผักกาดเขียวปลี 1 กิโลกรัม
2.เกลือ 75 กรม
3.น้ำ 1 ลิตร
4.น้ำตาลทราย 1ช้อนโต๊ะ
5.เกลือสำหรับเคล้าผัก 40 กรัม
วิธีทำ
1.ล้างผักกาดให้สะอาด นำไปตากให้เหี่ยวเคล้าเกลือให้ทั่ว
2.ต้มน้ำเกลือ (เกลือ75 กรัม/น้ำ1 ลิตร)ให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น
3. เอาผักใส่ไห หรือโหล เทน้ำเกลือทีเตรียมไว้ลงไปให้ท่วม เก็บไว้ 10-15 วันประทานได้
ตอนนี้คนตกงานมากงานลักษณะนี้ จึงได้รับความสนใจสูงทีเดียว
2.ขิงดอง
ขิงดอง ดูจะเป็นเครื่องเคียงกับไส้กรอกอีสานที่พื้นที่สุด ที่ว่า ขิงดอง นำมาแกล้มกับอาหารตาง ๆ ได้รส
ชาติ เช่นกันขิงดองที่เห็นมีสีออกแดง ๆ นั้น บางเจ้าใส่สีเสียจนเว่อร์ ดูน่ากลัวมากกว่าค่ากิน แต่สูตรขิงดองวันนี้ มีสีออกชมพูเรื่อๆ
สวยเชียว แถมไม่ใส่สานกันเสียด้วย ขิงดอง ก่อนอื่นคุณต้องเตรียมส่วนผสมเหล่านี้
1.ขิงอ่อนเป็นแง่ง ๆ สัก 1 กิโลกรัม
2.น้ำตาลทรายสัก200 ขีด
3.เกลือ 3-4 ช้อนโต๊ะ
4.มะนาวอีก 3 ผลใหญ่
วิธีทำ
1.เริ่มต้นล้างขิงให้สะอาด แล้วหั่นตามยาวบาง ๆ (บา้งใที่สุดเท่าที่จะบางได้ แต่ไม่ใช่หั่นฝอย)
2.นำมาเคล้ากับเกลือเคล้าจนขิงนิ่ม แล้วล้างน้ำ บีบน้ำออกวางผึ่งในตะแกรงไว้
3.นำขิงใส่ภาชนะ บีบมะนาวให้ทั่ว วิธีนี้ขิงจะออกสีแดง ๆ โดยไม่ต้องใช้สีหรือน้ำส้มสายชู มะนาวจะเป็นตัวทำให้เปรี้ยว
4.น้ำเชื่อมที่จะใช้ดองขิง ประกอบด้วย น้ำ 1 ถ้วยตวง น้ำตาล200 กรัม เกลือ 3 ช้อนชา ผสมกันจนเข้ากันดี
หาขวดแก้วสะอาด ๆ มีฝาปิด เรียงขิงในขวดแก้วเทน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ ปิดฝาให้สนิท แช่ไว้ในตู้เย็นจะ
เก็บไว้ได้นาน
3.ทำผักดอง 3 รส
ผักดอง 3 รสนั้นทำกินง่าย ทำขายรวย ถามถึงกิมจิ หรือผักดองที่กินแก้เลี่ยนได้ดี ทำมาจากผักกาดหางหงส์ เป็นสูตรของเกาหลี และต้องมีเครึ่องปรุงที่ค่อนข้างยุ่งยาก ในระดับนี้
เรามาทำแค่ผักดอง 3 รส ก่อนดีกว่า
ส่วนผสมของผักดอง 3 รส มีดังนี้
1. หัวผักกาด1 กิโลกรัม
2. แคร์รอต 300 กรัม
3. หอมแดง 200 กรัม
4. พริกชี้ฟ้า เขียว แดง เหลือง 200 กรัม
5. น้ำตาลทราย 4 ถ้วยตวง
6.น้ำส้มสายชู 3 ถ้วยตวง
7. เกลือ ? ถ้วยตวง
8. น้ำ ? ถ้วยตวง
วิธี ทำ
1.ล้างหัวผักกาดให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นเป็นแท่งยาว ขนาด 2 นิ้ว
2.ปอกหอม ผ่าครึ่ง พริกล้าง หั่น 3-4 ท่อนแครอตหั่นเหมือนหัวผักกาด
3.นำผักไปแช่กรดมะนาว 5 % (กรดมะนาว 5 กรัม ในน้ำ1 ลิตร) นาน 20 นาที
4. จากนั้นแช่ในแคลเซียมคลอไรด์ 5 %(แคลเซียมคลอไรด์ 5 กรัม ในน้ำ 1 ลิตร) นาน 20นาที
5.เมื่อแช่แล้วนำผักไปลึกในน้ำเดือด แคร์รอตลวกสัก 2 นาที ส่วนผักอื่น ๆ 1 นาที นำขึ้นผึ่งในตะแกรงวางให้สะเด็ดน้ำ
6. เตรียมน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือ เข้าด้วยกัน นำไปต้ม ทั้งให้เย็น
7. เรียงผักในขวดโหล เทน้ำเชื่อมลงไป ใช้ถุงพลาสติกปิดทับ และนำถุงพลาสติกอีกใบใส่น้ำทับไว้เพื่อ
ไม่ให้ผักลอยขึ้นมา (ถุงใบแรกกันเมื่อน้ำในถุงแตกจะได้ไม่ลงไปปนในน้ำผักดอง) 3 วัน นำขึ้นมากินได้
5/23/2011
ธุรกิจร้านกาแฟสด
การเปิดร้านกาแฟสดนั้น ต้องศึกษาข้อมูลให้มีความรู้ความเข้าใจเป้นอย่างดี ก่อนลงมือเปิดร้านเราต้องมีความพร้อนในทุกๆด้าน
การหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น ที่ต้องหมั่นศึกษาพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากเราไม่มีเวลาศึกษาก้ควรเลือกใช้แฟรนไชส์ร้านกาแฟเพราะแฟรนไชส์ถูกเซตขึ้นมาได้ต้องเกิดจากประสบการณ์ และความเข้าใจในธุรกิจกาแฟเป้นอย่างดี เราไม่ต้องเสียเวลาหาความรู้หรือลองถูกลองผิดเอง
แต่หารเลือกแฟรนไชส์ ตาต้องถึงเลือกให้ดี วันนี้ขอเสนอ
TODDY Coffee
แฟรนไชส์ ร้านกาแฟสด ราคา 39,000 บาท
ระยะเวลาคืนทุน 2 เดือน
โอกาสนี้ไม่ควรพลาด
แฟรนไชส์ราคาถูก วัตถุดิบและอุปกรณ์ครบ พร้อมพื้นที่ขาย
สิทธิที่ได้รับ
1. ฟรี! ค่ารอยัลตี้
2. ฟรี! ค่าแฟรนไชส์ฟรี
3. ฟรี! สอนสูตรกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ กว่า 200 ชนิด
ข้อมูลบริษัท
ToDDy Coffee co.ltd.
•ผู้ผลิตเมล็ดกาแฟสด ชาเขียว ช็อกโกแลต ครีมเทียม ภายใต้แบรนด์ ToDDy
•รับผลิสินค้าเกี่ยวกับกาแฟสดให้แบรนด์ต่างๆ
•จำหน่ายวัตถุดิบเกี่ยวกับกาแฟสดทุกชนิดในราคาโรงงาน
•รับปรึกษาการทำธุรกิจกาแฟสดโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ค่าเช่าถูก รายได้ดี ไม่ต้องเหนื่อยหาทำเล เพราะบริษัทประสานงานให้ทั้งหมด
บริษัทมีทำเลให้เลือกมากมาย หน้า Lotus Express หลายสาขา เช่น สาขาอ่อนนุช สาขาบางบัวทอง เป็นต้น
ราคากาแฟสด ToDDy Coffee
*โรบัสต้า 210 บาท/กก.
*มอคค่า 300 บาท/กก.
*เอสเพรสโซ่ 230 บาท/กก.
*อราบิก้า 310 บาท/กก.
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนได้ที่ บริษัท ท๊อดดี้ จำกัด
(สำนักงาน) ที่อยู่ 251/50 ซ.ถาวรวิลล่า ถ.พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. 10200
โทร. 02-972-9818-9 แฟกซ์ 02-972-9820 หรือ www.tarad.com/toddy_coffee
การหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น ที่ต้องหมั่นศึกษาพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากเราไม่มีเวลาศึกษาก้ควรเลือกใช้แฟรนไชส์ร้านกาแฟเพราะแฟรนไชส์ถูกเซตขึ้นมาได้ต้องเกิดจากประสบการณ์ และความเข้าใจในธุรกิจกาแฟเป้นอย่างดี เราไม่ต้องเสียเวลาหาความรู้หรือลองถูกลองผิดเอง
แต่หารเลือกแฟรนไชส์ ตาต้องถึงเลือกให้ดี วันนี้ขอเสนอ
TODDY Coffee
แฟรนไชส์ ร้านกาแฟสด ราคา 39,000 บาท
ระยะเวลาคืนทุน 2 เดือน
โอกาสนี้ไม่ควรพลาด
แฟรนไชส์ราคาถูก วัตถุดิบและอุปกรณ์ครบ พร้อมพื้นที่ขาย
สิทธิที่ได้รับ
1. ฟรี! ค่ารอยัลตี้
2. ฟรี! ค่าแฟรนไชส์ฟรี
3. ฟรี! สอนสูตรกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ กว่า 200 ชนิด
ข้อมูลบริษัท
ToDDy Coffee co.ltd.
•ผู้ผลิตเมล็ดกาแฟสด ชาเขียว ช็อกโกแลต ครีมเทียม ภายใต้แบรนด์ ToDDy
•รับผลิสินค้าเกี่ยวกับกาแฟสดให้แบรนด์ต่างๆ
•จำหน่ายวัตถุดิบเกี่ยวกับกาแฟสดทุกชนิดในราคาโรงงาน
•รับปรึกษาการทำธุรกิจกาแฟสดโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ค่าเช่าถูก รายได้ดี ไม่ต้องเหนื่อยหาทำเล เพราะบริษัทประสานงานให้ทั้งหมด
บริษัทมีทำเลให้เลือกมากมาย หน้า Lotus Express หลายสาขา เช่น สาขาอ่อนนุช สาขาบางบัวทอง เป็นต้น
ราคากาแฟสด ToDDy Coffee
*โรบัสต้า 210 บาท/กก.
*มอคค่า 300 บาท/กก.
*เอสเพรสโซ่ 230 บาท/กก.
*อราบิก้า 310 บาท/กก.
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนได้ที่ บริษัท ท๊อดดี้ จำกัด
(สำนักงาน) ที่อยู่ 251/50 ซ.ถาวรวิลล่า ถ.พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. 10200
โทร. 02-972-9818-9 แฟกซ์ 02-972-9820 หรือ www.tarad.com/toddy_coffee
5/20/2011
สยามเวนดิ้ง เครื่องเติมเงินมือถือ
สยามเวนดิ้ง เครื่องเติมเงินมือถือ
ธุรกิจบริการประเภท ‘เครื่องหยอดเหรียญ’ กำลังได้รับความนิยมและเติบโตเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของคนยุคปัจจุบันได้อย่างน่าพอใจ จึงทำให้ตลาดธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีเครื่องให้บริการหลากหลายยี่ห้อ สำหรับในแง่นักลงทุนแล้ว เครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือน ‘เครื่องผลิตเม็ดเงิน’ ที่สามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่าตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรหรือพื้นที่ในการให้บริการมาก
อดีตสยามเวนดิ้งเคยเป็นโรงงานผลิตเครื่องเติมเงินมือถือหยอดเหรียญแบบ OEM ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งมานานกว่า 3 ปี ด้วยประสบการณ์บวกกับความเชี่ยวชาญด้านการผลิต ทำให้วันนี้สยามเวนดิ้งมีความพร้อมสำหรับการสร้างแบรนด์เครื่องเติมเงินมือถือหยอดเหรียญของตนเอง ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ผ่านการคิดค้นและพัฒนาจนเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานและคุ้มค่าต่อการลงทุนเป็นที่สุด โดยออกมาทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่
รุ่นไชโยท็อปอัพ..รับเหรียญและคืนเหรียญ ราคาย่อมเยา บริหารจัดการง่าย ซื้อไปติดหน้าบ้าน หน้าร้านได้สะดวกและทำกำไรได้ดี
รุ่นฟรีดอมท็อปอัพ..รับแบงค์และรับเหรียญ หน้าจอใหญ่ ถึง 6 นิ้ว อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เหมาะกับผู้ที่ตั้งใจจริง
รุ่นสวัสดีท็อปอัพ..มีลักษณะคล้ายตู้ ATM รูปร้าง สวยงามสะดุดตา รับแบงค์และรับเหรียญและสามารถคืนเหรียญคืนแบงค์
รุ่นตั้งโต๊ะ..สามารถเติมเงินมือถือได้ 3 ระบบ พร้อมบริการ MPAY STATION BY AIS จุดจ่ายบิล โอนเงิน ถอนเงิน สะดวกทุกที่
ทั้ง 4 รุ่น ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการในทุกพื้นที่ และความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ผลิตจากอุปกรณ์คุณภาพสูง เช่น Wavecom โมดูลจากประเทศฝรั่งเศส, ชุดรับธนบัตรและชุดรับเหรียญจากประเทศไต้หวัน (ICT), หน้าจอ LCD Super Bright (VISHAY จากประเทศไต้หวัน), ปุ่มกด 16 ปุ่มขนาดใหญ่แข็งแรงทนทานทำจากอลูมิเนียม ทำให้ประหยัดค่าบำรุงรักษาในระยะยาว โรงงานเหล็กได้มาตรฐาน ISO, โรงงานประกอบบอร์ดใช้เครื่อง CNC ลงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ซึ่งลูกค้าสามารถทดสอบเครื่องได้ที่สยามเวนดิ้ง
จุดเด่นของตัวแทนจำหน่ายสามารถจัดหาซิมให้กับลูกค้า และยังสามารถจัดผลประโยชน์ให้กับดีลเลอร์ของสยามเวนดิ้ง ตามเงื่อนไขได้จริง ด้วยระบบธรรมาภิบาลสามารถตรวจสอบได้ เป็นผู้ผลิตและพัฒนาซอฟแวร์เองทั้งหมด จึงหมดปัญหาเกี่ยวกับการบริการหลังการขาย
เพิ่มชุดเซนเซอร์ อธิบายด้วยเสียงภาษาไทยอัตโนมัติทุกขั้นตอน ระบบกันขโมยมีเสียงไซเรนเมื่อมีคนมางัดเครื่องพร้อมทั้งยัง SMS แจ้งเจ้าของเครื่องให้ทราบได้ในทันที
ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของเครื่องเติมเงินหยอดเหรียญทั้ง 4 รุ่นนี้ เพียงคุณมีเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 32,000 บาท เท่านั้น ส่วนผลตอบแทนหลังจากติดตั้งเครื่อง รายได้ส่วนแรกมาจากค่าบริการในการเติมเงินต่อครั้ง ซึ่งเมื่อเจ้าของเครื่องสามารถกำหนดได้เอง ส่วนรายได้ส่วนต่อมาคือ รายได้จาก Operator เจ้าของระบบซึ่งแต่ละระบบจะมีความแตกต่างกัน คือระบบ True 6.5%, Happy 3.5%, 1 2 call ถ้ายอดขายไม่ถึง 300 ต่อวันจะได้ 3.0% ถ้ามากกว่า 300 บาทต่อวันจะได้ 3.5%
ส่วนต้นทุนในการนำเครื่องไปให้บริการนั้นจะมีในส่วนของค่าไฟ ค่าเช่าพื้นที่ และต้นทุนในการเติมเงินเข้าระบบ ดังนั้นหลังหักค่าต้นทุนต่อเดือนแล้ว จะเหลือเป็นรายได้ในส่วนของกำไร ประมาณ 5,000/เดือน และสามารถคืนทุนได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง
สำหรับผู้ที่สนใจชมตัวอย่างสินค้า ติดต่อได้ที่ ห้างหุ่นส่วนจำกัด สยามเวนดิ้ง 51 ซอยรังสิต-ปทุมธานี 10 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร.0-2958-2334 แฟกซ์ 0-2516-8947 หรือที่:www.siamvending.co.th
ธุรกิจบริการประเภท ‘เครื่องหยอดเหรียญ’ กำลังได้รับความนิยมและเติบโตเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของคนยุคปัจจุบันได้อย่างน่าพอใจ จึงทำให้ตลาดธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีเครื่องให้บริการหลากหลายยี่ห้อ สำหรับในแง่นักลงทุนแล้ว เครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือน ‘เครื่องผลิตเม็ดเงิน’ ที่สามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่าตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรหรือพื้นที่ในการให้บริการมาก
อดีตสยามเวนดิ้งเคยเป็นโรงงานผลิตเครื่องเติมเงินมือถือหยอดเหรียญแบบ OEM ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งมานานกว่า 3 ปี ด้วยประสบการณ์บวกกับความเชี่ยวชาญด้านการผลิต ทำให้วันนี้สยามเวนดิ้งมีความพร้อมสำหรับการสร้างแบรนด์เครื่องเติมเงินมือถือหยอดเหรียญของตนเอง ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ผ่านการคิดค้นและพัฒนาจนเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานและคุ้มค่าต่อการลงทุนเป็นที่สุด โดยออกมาทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่
รุ่นไชโยท็อปอัพ..รับเหรียญและคืนเหรียญ ราคาย่อมเยา บริหารจัดการง่าย ซื้อไปติดหน้าบ้าน หน้าร้านได้สะดวกและทำกำไรได้ดี
รุ่นฟรีดอมท็อปอัพ..รับแบงค์และรับเหรียญ หน้าจอใหญ่ ถึง 6 นิ้ว อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เหมาะกับผู้ที่ตั้งใจจริง
รุ่นสวัสดีท็อปอัพ..มีลักษณะคล้ายตู้ ATM รูปร้าง สวยงามสะดุดตา รับแบงค์และรับเหรียญและสามารถคืนเหรียญคืนแบงค์
รุ่นตั้งโต๊ะ..สามารถเติมเงินมือถือได้ 3 ระบบ พร้อมบริการ MPAY STATION BY AIS จุดจ่ายบิล โอนเงิน ถอนเงิน สะดวกทุกที่
ทั้ง 4 รุ่น ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการในทุกพื้นที่ และความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ผลิตจากอุปกรณ์คุณภาพสูง เช่น Wavecom โมดูลจากประเทศฝรั่งเศส, ชุดรับธนบัตรและชุดรับเหรียญจากประเทศไต้หวัน (ICT), หน้าจอ LCD Super Bright (VISHAY จากประเทศไต้หวัน), ปุ่มกด 16 ปุ่มขนาดใหญ่แข็งแรงทนทานทำจากอลูมิเนียม ทำให้ประหยัดค่าบำรุงรักษาในระยะยาว โรงงานเหล็กได้มาตรฐาน ISO, โรงงานประกอบบอร์ดใช้เครื่อง CNC ลงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ซึ่งลูกค้าสามารถทดสอบเครื่องได้ที่สยามเวนดิ้ง
จุดเด่นของตัวแทนจำหน่ายสามารถจัดหาซิมให้กับลูกค้า และยังสามารถจัดผลประโยชน์ให้กับดีลเลอร์ของสยามเวนดิ้ง ตามเงื่อนไขได้จริง ด้วยระบบธรรมาภิบาลสามารถตรวจสอบได้ เป็นผู้ผลิตและพัฒนาซอฟแวร์เองทั้งหมด จึงหมดปัญหาเกี่ยวกับการบริการหลังการขาย
เพิ่มชุดเซนเซอร์ อธิบายด้วยเสียงภาษาไทยอัตโนมัติทุกขั้นตอน ระบบกันขโมยมีเสียงไซเรนเมื่อมีคนมางัดเครื่องพร้อมทั้งยัง SMS แจ้งเจ้าของเครื่องให้ทราบได้ในทันที
ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของเครื่องเติมเงินหยอดเหรียญทั้ง 4 รุ่นนี้ เพียงคุณมีเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 32,000 บาท เท่านั้น ส่วนผลตอบแทนหลังจากติดตั้งเครื่อง รายได้ส่วนแรกมาจากค่าบริการในการเติมเงินต่อครั้ง ซึ่งเมื่อเจ้าของเครื่องสามารถกำหนดได้เอง ส่วนรายได้ส่วนต่อมาคือ รายได้จาก Operator เจ้าของระบบซึ่งแต่ละระบบจะมีความแตกต่างกัน คือระบบ True 6.5%, Happy 3.5%, 1 2 call ถ้ายอดขายไม่ถึง 300 ต่อวันจะได้ 3.0% ถ้ามากกว่า 300 บาทต่อวันจะได้ 3.5%
ส่วนต้นทุนในการนำเครื่องไปให้บริการนั้นจะมีในส่วนของค่าไฟ ค่าเช่าพื้นที่ และต้นทุนในการเติมเงินเข้าระบบ ดังนั้นหลังหักค่าต้นทุนต่อเดือนแล้ว จะเหลือเป็นรายได้ในส่วนของกำไร ประมาณ 5,000/เดือน และสามารถคืนทุนได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง
สำหรับผู้ที่สนใจชมตัวอย่างสินค้า ติดต่อได้ที่ ห้างหุ่นส่วนจำกัด สยามเวนดิ้ง 51 ซอยรังสิต-ปทุมธานี 10 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร.0-2958-2334 แฟกซ์ 0-2516-8947 หรือที่:www.siamvending.co.th
5/11/2011
ขายขนมไข่นกกระทาทอด
ขนมไข่นกกระทา ทอดร้อนๆเหลืองๆหอม วางซ้อนกันพูนๆบนถาด ผู้คนผ่านไปมาเจอต้องหยุดซื้อกันทันที ยิ่งเจ้าที่แป้งนอกกรอบข้างในนุ่ม อร่อย คนเข้าแถวต่อซื้อกัน ทำให้ทอดแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว
วันนี้เลยอยากจะชวนท่านที่กำลังว่างงานหรือกำลังมองหาอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองในช่วง หลังเลิกงาน หรือเวลาว่าง ลองมองหาทำเลดีๆ ใกล้ชุมชน ใกล้ตลาด โรงเรียน หรืตามเปิดท้าย ก็น่าจะขายดี
ขนมไข่นกกระทานั้นวิธีการทำไม่ยุ่งยาก ส่วนผสมก็ไม่มาก สมารถทำเสร็จได้ไม่นาน วันนี้มีสูตรขนมไข่นกกระทาทอดมาฝากให้ทดลองทำกันดูครับ
ขอบคุณภาพจาก atcloud.com/
อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำขนมไข่นกกระทาทอด : เตาแก๊สพร้อมถัง กระทะ ตะแกรงทอดมีด้าม ไม้ปลายแหลม ถาดหม้อ หรือกะละมัง ถุงกระดาษ รถเข็น หรือโต๊ะพับ
สูตรขนมไข่นกกระทาทอด
ส่วนผสม
-แป้งมัน 500 กรัม
-แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
-มันเทศต้มจนสุก 800 กรัม
-น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
-น้ำปูนใสเล็กน้อย
-งาขาวใช้สำหรับโรยหน้า
วิธีทำ
1.นำแป้งมัน, แป้งสาลี, น้ำตาลทราย, และเกลือผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2.จากนั้นนำไปผสมกับมันเทศนึ่ง แล้วใส่น้ำปูนใสลงไปนิดหน่อย ขยำส่วนผสมจนเข้ากันดี จึงปั้นเป็นลูกกลมๆ
3.ตั้งน้ำมันในกระทะเตาใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันร้อนได้ที่ จึงใส่แป้งที่ปั้นไว้แล้วลงไปทอด คอยกลับสม่ำเสมอ อย่าให้ไหม้
4.เมื่อสุกเหลืองดี ตักออกมาสะเด็ดน้ำมัน ทิ้งไว้ให้เย็น (โรยหน้าด้วยงาขาว) เตรียมใส่ถุงขายได้
** หากจะนำ เผือกทอด มันทอด หรือกล้วยทอด มาเสริมด้วยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ลูกค้ามีทางเลือกหลายอย่าง
วันนี้เลยอยากจะชวนท่านที่กำลังว่างงานหรือกำลังมองหาอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองในช่วง หลังเลิกงาน หรือเวลาว่าง ลองมองหาทำเลดีๆ ใกล้ชุมชน ใกล้ตลาด โรงเรียน หรืตามเปิดท้าย ก็น่าจะขายดี
ขนมไข่นกกระทานั้นวิธีการทำไม่ยุ่งยาก ส่วนผสมก็ไม่มาก สมารถทำเสร็จได้ไม่นาน วันนี้มีสูตรขนมไข่นกกระทาทอดมาฝากให้ทดลองทำกันดูครับ
ขอบคุณภาพจาก atcloud.com/
อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำขนมไข่นกกระทาทอด : เตาแก๊สพร้อมถัง กระทะ ตะแกรงทอดมีด้าม ไม้ปลายแหลม ถาดหม้อ หรือกะละมัง ถุงกระดาษ รถเข็น หรือโต๊ะพับ
สูตรขนมไข่นกกระทาทอด
ส่วนผสม
-แป้งมัน 500 กรัม
-แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
-มันเทศต้มจนสุก 800 กรัม
-น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
-น้ำปูนใสเล็กน้อย
-งาขาวใช้สำหรับโรยหน้า
วิธีทำ
1.นำแป้งมัน, แป้งสาลี, น้ำตาลทราย, และเกลือผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2.จากนั้นนำไปผสมกับมันเทศนึ่ง แล้วใส่น้ำปูนใสลงไปนิดหน่อย ขยำส่วนผสมจนเข้ากันดี จึงปั้นเป็นลูกกลมๆ
3.ตั้งน้ำมันในกระทะเตาใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันร้อนได้ที่ จึงใส่แป้งที่ปั้นไว้แล้วลงไปทอด คอยกลับสม่ำเสมอ อย่าให้ไหม้
4.เมื่อสุกเหลืองดี ตักออกมาสะเด็ดน้ำมัน ทิ้งไว้ให้เย็น (โรยหน้าด้วยงาขาว) เตรียมใส่ถุงขายได้
** หากจะนำ เผือกทอด มันทอด หรือกล้วยทอด มาเสริมด้วยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ลูกค้ามีทางเลือกหลายอย่าง
5/10/2011
การแต่งหน้าร้านให้รวย
การตกแต่งร้านนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพราะ หน้าตาของร้านเป็นจุดที่เชิญชวนให้ลูกค้าจะเข้าหรือจะเดินผ่านร้านเราไป การตกแต่งร้านที่ดีนอกจากจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจแล้ว หน้าตาของร้ายังเปรียบเสมือนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ร้านที่ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่ามันสามารถช่วยสร้างยอดขายได้ หรือที่นักการตลาดเรียกว่า The Silent Salesperson อย่างไรก็ตามการออกแบบไม่ได้หมายถึง เรื่องของรูปแบบหรือหน้าตาของร้านเพียงอย่างเดียว แต่การออกแบบหมายรวมถึง การจัดวาง การกำหนดตำแหน่งเพื่อประโยชน์ใช้สอยสูงสุดการสร้างบรรยากาศโดยรวมให้เกิดความเหมาะสมและลงตัว การก่อให้เกิดความทรงจำ การกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกที่สอดคล้องกับธุรกิจนั้นๆ เช่น ร้านจำหน่ายเสื้อผ้า ต้องตกแต่งร้านให้ลูกค้าเข้ามาแล้วเกิดความรู้สึกว่า ต้องซื้อกลับไปให้ได้หรือ ร้านอาหารที่เห็นแล้ว อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปสั่งอะไรมาทาน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของไอเดีย หรือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เหล่านี้ ไม่ได้เป็นพรสวรรค์ที่เจ้าของธุรกิจมีกันได้ทุกคน ดังนั้น หากผู้ประกอบการไม่มีความรู้ด้านการออกแบบ หรือยังไม่มั่นใจทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ต้องหันหน้าเข้าหานักออกแบบ และนักออกแบบเองจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น หากให้ความไว้วางใจในการขอรับคำปรึกษาแนะนำจากนักการตลาด ผู้ซึ่งมีความรู้ด้านพฤติกรรมการจับจ่ายให้สอยของลูกค้า เมื่อ 2 ศาสตร์มารวมกัน จึงเป็นคำตอบที่ดีว่า จะทำอย่างไรให้บรรยากาศของร้าน มีผลในเชิงบวกต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ที่เข้ามาเยือน
ความรู้และเทคนิคในการออกแบบตกแต่งร้านนั้นมีอยู่มากมาย โดยแนวทางหลักในการออกแบบตกแต่งที่ทุกๆ ธุรกิจจำเป็นจะต้องคำนึงถึงมีดังต่อไปนี้
1.สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกต่อธุรกิจ การออกแบบที่ดีนั้น ผู้ออกแบบจะต้องสื่อความหมายและโชว์ตัวตนของแต่ละธุรกิจให้ได้ผู้เขียนเคยเห็นการตกแต่งหน้าร้านของคลินิกความงามแห่งหนึ่งที่ใช้ภาพถ่ายหญิงสาวขนาดใหญ่มาติดไว้หน้าร้าน ซึ่งนอกจากภาพดังกล่าวจะไม่บ่งบอกให้ผู้พบเห็นได้เข้าใจถึงบริการสร้างความสวยงามของคลินิกแห่งนั้นได้แล้ว ยังพาลให้เข้าใจไปอีกว่า สถานที่แห่งนั้นน่าจะเป็น อาบอบนวด มากกว่าคลินิกเสริมความงาม สิ่งเหล่านี้จึงเป็นข้อควรระวัง เพราะผู้ประกอบการต้องถึงระลึกอยู่เสมอว่า หากไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับธุรกิจได้ ก็ไม่สามารถสร้างความประทับใจและไม่สามารถกระตุ้นให้ผู้พบเห็นเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการได้เช่นเดียวกัน
2.สอดคล้องกับรสนิยมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งในแง่ของช่วงอายุ เพศ สถานะ ฯลฯ เพราะไลฟ์สไตล์ของคนแต่ละกลุ่มนั้นแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ออกแบบจำเป็นต้องวิเคราะห์ด้วยว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้นมีความต้องการอย่างไร และต้องทำสิ่งใดเพื่อตอบสนองเข้าให้ได้มากที่สุด เช่น หากลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น การออกแบบจะต้องเน้นความแปลกใหม่ แสดงออกถึงจินตนาการ สีที่เลือกใช้ก็ต้องดูสดใส แต่ถ้าหากกลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยผู้ใหญ่ การตกแต่งร้านต้องเน้นความมีเหตุมีผล สะอาด สะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจมีกานำแสง สี กลิ่น เสียง ที่เหมาะสมกับรถนิยมของคนแต่ละกลุ่มมาใช้เรียกความสนใจจากลูกค้าด้วย
3.แสดงถึงจุดขาย หรือจุดเด่นของร้าน เพื่อให้เกิดการจดจำจุดเด่นในที่นี้สามารถแสดงออกได้ทั้ง สีของร้าน โลโก้ ป้ายหน้าร้าน วอลล์เปเปอร์ การจัดดิสเพลย์ รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ วิธีการจัดเรียงสินค้า หรือแม้กระทั่งเครื่องแต่งกายของพนักงาน ซึ่งผู้สร้างสรรค์จะต้องมีแนวความคิดที่แตกต่าง อาจจะไม่ถึงขั้นแหวกแนวสุดกู่ แต่การมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็สามารถสร้างปรากฎการณ์ที่น่าทึ่งให้แก่ผู้พบเห็นได้
4.เกิดประโยชน์ใช้สอยสูงสุด หมายถึง การออกแบบเพื่อให้มีความเหมาะสมกับการใช้งาน และสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและมีความสะดวกสบาย ไม่มีจุดบอดหรือจุดอับ โดยในส่วนนี้จำเป็นต้องกำหนดตั้งแต่การเริ่มวางแผงผังของร้านอย่างเช่น การจัดเส้นทางให้ลูกค้าได้เดินดูสินค้าครบทุกจุดของร้าน ลูกค้าสามารถเดินจากหน้าร้านวนเข้าไปหลังร้าน แล้วเดินออกมาได้อย่างคล่องตัว ซึ่งทำให้ลูกค้าได้เดินดูสินค้าครบถ้วนหรือการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ภายในร้าน หรือ Prop ต่างๆ ที่นอกจากจะมีมิติที่สวยงาม กลมกลืนกับบรรยากาศโดยรวมแล้ว ยังต้องมีความเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย สะดวก และปลอดภัย
5.นำไปสู่การสร้างแบรนด์ เมื่อความสวยงามของร้านสามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้แล้ว นานวันเข้าจะทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย สนิทสนม เหมือนการแวะเข้ามาทักทายเพื่อนผู้รู้ใจ เมื่อลูกค้าเกิดความประทับใจทั้งการจัดตกแต่งร้านและการให้บริการย่อมจะเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก เท่ากับว่าเกิดการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง โดยที่เจ้าของไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว เมื่อความนิยมมีมากขึ้น แบรนด์ของธุรกิจนั้นๆ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งและหากเจ้าของธุรกิจรู้จักสะสม รักษา และพัฒนาชื่อเสียงอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ดังกล่าวก็จะถูกกล่าวถึงอย่างยั่งยืน
6.อยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม การออกแบบไม่ใช่การฝันลมๆ แล้งๆ แต่เป็นหนึ่งในกิจกรรมทางธุรกิจที่เป็นจริง ชัดเจน และแตะต้องได้ ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเรื่องของการออกแบบต้องควบคุมได้ไม่มั่วและไม่บานปลาย ดังนั้นในช่วงที่มีการตกแต่งร้าน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมา เจ้าของเงิน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ จำเป็นจะต้องพูดคุยและเข้ามาสัมผัสหน้างานให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีการร่างสัญญารับเหมา ซึ่งมีข้อตกลงในเรื่องใดๆระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง ก็ต้องระบุในสัญญาอย่างละเอียดมีการระบุชนิดของวัตถุดิบ หน่วยนับ ราคาต่อหน่วย คำสั่งงานทุกอย่างให้ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของทุกฝ่ายและเป็นส่วนที่จะช่วยควบคุมงบประมาณตามแผนได้เป็นอย่างดี
นอกจากแนวทางพื้นฐานดังที่กล่าวไปแล้ว ผู้ประกอบการบางท่านอาจจะมีความเชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ย ซึ่งก็สามารถนำศาสตร์ดังกล่าวมาผสมผสานเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องในทำเลต่างๆ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของธุรกิจได้ หลายท่านพบว่าการตั้งตู้ปลา หรือน้ำพุเล็กๆ เอาไว้ ช่วยให้การค้าขายดีขึ้น หรือร้านอาหารที่ใช้โต๊ะทานอาหารทรงกลม และจัดเรียงโต๊ะไม่ให้แน่นเกินไป เพราะมีความเชื่อว่า เพื่อให้พลังซีไหลเวียนภายในร้านได้สะดวก ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้แต่แบรนด์ใหญ่อย่าง แมคโดนัลด์ ก็ยังใช้ฮวงจุ้ยในการตกแต่งร้าน เพื่อหวังเพิ่มยอดขายในลอสแองเจลิสและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีลูกค้ามากเช่นเดียวกัน
สำหรับเทรนด์ในการตกแต่งร้านต่างๆ นั้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างธุรกิจ 5 ประเภท มาให้ท่านผู้อ่านได้ลองศึกษาดู ส่วนใครจะตกแต่งร้านของตนให้เป็นสไตล์ไหนนั้น ก็ขอให้พิจารณาตามความเหมาะสมของทำเล กลุ่มเป้าหมาย และเงินทุนในกระเป๋า
หวังว่าเทคนิคง่ายๆเหล่านี้จะช่วยเพิ่มยอดขายให้คุณๆ ที่กำลังคิดจะจัดร้านเพื่อเพิ่มยอดขายกันนะครับ
ความรู้และเทคนิคในการออกแบบตกแต่งร้านนั้นมีอยู่มากมาย โดยแนวทางหลักในการออกแบบตกแต่งที่ทุกๆ ธุรกิจจำเป็นจะต้องคำนึงถึงมีดังต่อไปนี้
1.สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกต่อธุรกิจ การออกแบบที่ดีนั้น ผู้ออกแบบจะต้องสื่อความหมายและโชว์ตัวตนของแต่ละธุรกิจให้ได้ผู้เขียนเคยเห็นการตกแต่งหน้าร้านของคลินิกความงามแห่งหนึ่งที่ใช้ภาพถ่ายหญิงสาวขนาดใหญ่มาติดไว้หน้าร้าน ซึ่งนอกจากภาพดังกล่าวจะไม่บ่งบอกให้ผู้พบเห็นได้เข้าใจถึงบริการสร้างความสวยงามของคลินิกแห่งนั้นได้แล้ว ยังพาลให้เข้าใจไปอีกว่า สถานที่แห่งนั้นน่าจะเป็น อาบอบนวด มากกว่าคลินิกเสริมความงาม สิ่งเหล่านี้จึงเป็นข้อควรระวัง เพราะผู้ประกอบการต้องถึงระลึกอยู่เสมอว่า หากไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับธุรกิจได้ ก็ไม่สามารถสร้างความประทับใจและไม่สามารถกระตุ้นให้ผู้พบเห็นเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการได้เช่นเดียวกัน
2.สอดคล้องกับรสนิยมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งในแง่ของช่วงอายุ เพศ สถานะ ฯลฯ เพราะไลฟ์สไตล์ของคนแต่ละกลุ่มนั้นแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ออกแบบจำเป็นต้องวิเคราะห์ด้วยว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้นมีความต้องการอย่างไร และต้องทำสิ่งใดเพื่อตอบสนองเข้าให้ได้มากที่สุด เช่น หากลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น การออกแบบจะต้องเน้นความแปลกใหม่ แสดงออกถึงจินตนาการ สีที่เลือกใช้ก็ต้องดูสดใส แต่ถ้าหากกลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยผู้ใหญ่ การตกแต่งร้านต้องเน้นความมีเหตุมีผล สะอาด สะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจมีกานำแสง สี กลิ่น เสียง ที่เหมาะสมกับรถนิยมของคนแต่ละกลุ่มมาใช้เรียกความสนใจจากลูกค้าด้วย
3.แสดงถึงจุดขาย หรือจุดเด่นของร้าน เพื่อให้เกิดการจดจำจุดเด่นในที่นี้สามารถแสดงออกได้ทั้ง สีของร้าน โลโก้ ป้ายหน้าร้าน วอลล์เปเปอร์ การจัดดิสเพลย์ รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ วิธีการจัดเรียงสินค้า หรือแม้กระทั่งเครื่องแต่งกายของพนักงาน ซึ่งผู้สร้างสรรค์จะต้องมีแนวความคิดที่แตกต่าง อาจจะไม่ถึงขั้นแหวกแนวสุดกู่ แต่การมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็สามารถสร้างปรากฎการณ์ที่น่าทึ่งให้แก่ผู้พบเห็นได้
4.เกิดประโยชน์ใช้สอยสูงสุด หมายถึง การออกแบบเพื่อให้มีความเหมาะสมกับการใช้งาน และสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและมีความสะดวกสบาย ไม่มีจุดบอดหรือจุดอับ โดยในส่วนนี้จำเป็นต้องกำหนดตั้งแต่การเริ่มวางแผงผังของร้านอย่างเช่น การจัดเส้นทางให้ลูกค้าได้เดินดูสินค้าครบทุกจุดของร้าน ลูกค้าสามารถเดินจากหน้าร้านวนเข้าไปหลังร้าน แล้วเดินออกมาได้อย่างคล่องตัว ซึ่งทำให้ลูกค้าได้เดินดูสินค้าครบถ้วนหรือการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ภายในร้าน หรือ Prop ต่างๆ ที่นอกจากจะมีมิติที่สวยงาม กลมกลืนกับบรรยากาศโดยรวมแล้ว ยังต้องมีความเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย สะดวก และปลอดภัย
5.นำไปสู่การสร้างแบรนด์ เมื่อความสวยงามของร้านสามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้แล้ว นานวันเข้าจะทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย สนิทสนม เหมือนการแวะเข้ามาทักทายเพื่อนผู้รู้ใจ เมื่อลูกค้าเกิดความประทับใจทั้งการจัดตกแต่งร้านและการให้บริการย่อมจะเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก เท่ากับว่าเกิดการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง โดยที่เจ้าของไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว เมื่อความนิยมมีมากขึ้น แบรนด์ของธุรกิจนั้นๆ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งและหากเจ้าของธุรกิจรู้จักสะสม รักษา และพัฒนาชื่อเสียงอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ดังกล่าวก็จะถูกกล่าวถึงอย่างยั่งยืน
6.อยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม การออกแบบไม่ใช่การฝันลมๆ แล้งๆ แต่เป็นหนึ่งในกิจกรรมทางธุรกิจที่เป็นจริง ชัดเจน และแตะต้องได้ ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเรื่องของการออกแบบต้องควบคุมได้ไม่มั่วและไม่บานปลาย ดังนั้นในช่วงที่มีการตกแต่งร้าน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมา เจ้าของเงิน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ จำเป็นจะต้องพูดคุยและเข้ามาสัมผัสหน้างานให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีการร่างสัญญารับเหมา ซึ่งมีข้อตกลงในเรื่องใดๆระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง ก็ต้องระบุในสัญญาอย่างละเอียดมีการระบุชนิดของวัตถุดิบ หน่วยนับ ราคาต่อหน่วย คำสั่งงานทุกอย่างให้ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของทุกฝ่ายและเป็นส่วนที่จะช่วยควบคุมงบประมาณตามแผนได้เป็นอย่างดี
นอกจากแนวทางพื้นฐานดังที่กล่าวไปแล้ว ผู้ประกอบการบางท่านอาจจะมีความเชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ย ซึ่งก็สามารถนำศาสตร์ดังกล่าวมาผสมผสานเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องในทำเลต่างๆ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของธุรกิจได้ หลายท่านพบว่าการตั้งตู้ปลา หรือน้ำพุเล็กๆ เอาไว้ ช่วยให้การค้าขายดีขึ้น หรือร้านอาหารที่ใช้โต๊ะทานอาหารทรงกลม และจัดเรียงโต๊ะไม่ให้แน่นเกินไป เพราะมีความเชื่อว่า เพื่อให้พลังซีไหลเวียนภายในร้านได้สะดวก ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้แต่แบรนด์ใหญ่อย่าง แมคโดนัลด์ ก็ยังใช้ฮวงจุ้ยในการตกแต่งร้าน เพื่อหวังเพิ่มยอดขายในลอสแองเจลิสและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีลูกค้ามากเช่นเดียวกัน
สำหรับเทรนด์ในการตกแต่งร้านต่างๆ นั้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างธุรกิจ 5 ประเภท มาให้ท่านผู้อ่านได้ลองศึกษาดู ส่วนใครจะตกแต่งร้านของตนให้เป็นสไตล์ไหนนั้น ก็ขอให้พิจารณาตามความเหมาะสมของทำเล กลุ่มเป้าหมาย และเงินทุนในกระเป๋า
หวังว่าเทคนิคง่ายๆเหล่านี้จะช่วยเพิ่มยอดขายให้คุณๆ ที่กำลังคิดจะจัดร้านเพื่อเพิ่มยอดขายกันนะครับ
5/06/2011
โดนัท Daddy Dough
โดนัท Daddy Dough
Daddy Dough โดนัทระดับพรีเมี่ยม ของคนไทยรายแรกและรายเดียว วันนี้สามารถขยายสาขาได้กว่า 6 สาขา และมีแนวโน้มว่า ร้านโดนัทของคนไทยรายนี้น่าจะสู้กับแบรนด์ดังของต่างชาติได้เลยทีเดียว
Daddy Dough เกิดขึ้นจากแนวคิดบนโต๊ะเล็กๆ ที่คุณปีเตอร์และครอบครัว คุยกันว่า ทำไมร้านโดนัทร้านนั้น ถึงมีคนต่อแถวซื้อกันเยอะง เพื่อนคุณพ่อที่นั่งอยู่ด้วยเขาก็บอกว่า ที่ประเทศประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีโดนัทแบรนด์หนึ่ง มีคนต่อแถวซื้อเหมือนกัน หลังจากนั้นก็คิดกันว่าทำไมเราไม่ลองเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ขึ้นมาสักร้าน
เพราะในอดีตคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เคยเปิดร้าเบเกอรี่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาก่อน และก็มีสูตรแป้งของตัวเองด้วย อีกอย่างเท่าที่ผมได้ยินมา ร้านค้าหรือแบรนด์สินค้าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากมีแค่ 2 ร้าน ในทางการตลาดเขาบอกว่ามันยังไม่บาลานส์ แต่ถ้ามี 3 ร้าน หรือ 3 แบรนด์ เขาบอกว่ามันจะพอดี เมื่อมามองถึงตลาดโดนัทในบ้านเรา ก็มีแข่งกันแค่ 2 แบรนด์เท่านั้น ถ้ามี Daddy Dough เป็นแบรนด์ที่ 3 ก็น่าจะสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น
หลังจากที่มองว่าตลาดโดนัทในบ้านเรา น่าที่จะสามารถเติบโตได้อีกมาก จากนั้นคุณปีเตอร์และครอบครัว จึงตัดสินใจทดลองเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ขึ้น
โดยอาศัยพื้นที่ข้างร้านอาหารย่านสีลมเป็นสถานที่ตั้ง แต่สำหรับร้านโดนัทขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มเปิดใหม่ อีกทั้งในตลาดก็มีเจ้าตลาดหรือแบรนด์ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว ดังนั้น การสร้างแบรนด์หรือการตั้งชื่อตัวสินค้าเพื่อให้เป็นที่ยอมรับหรือติดหูผู้บริโภค จึงนับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คุณปีเตอร์และครอบครัวให้ความสำคัญ
Daddy Dough เป็นชื่อที่น้องชายคุณปีเตอร์เป็นคนคิด แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการคิดไว้หลายชื่อ แต่สุดท้ายก็มาสรุปที่ Daddy Dough เพราะมันได้ทั้งในแง่ของการใช้คำที่สั้น กระชับ และความหมาย เพราะ Daddy Dough หมายถึง แป้งของพ่อ มันตรงคอนเซ็ปต์ของเรา เพราะสูตรแป้งต่างๆ ที่นำมาทำและพัฒนามาจนถึงวันนี้ เป็นสูตรแป้งที่คุณพ่อท่านเป็นคนคิดค้น
ซึ่งหลังจากที่เปิดร้านมาตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2549 เราก็ใช้ชื่อนี้ตลอดมา”
เนื่องจากเป็นร้านโดนัทที่เพิ่งเริ่มเปิดตัว ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่ชื่อร้านหรือแบรนด์สินค้าเท่านั้นที่ต้องสร้างเพื่อให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภค การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้า
เพื่อให้เป็นที่จดจำของผู้ซื้อก็เป็นอีกเหตุผลที่ต้องให้สำคัญ
คือต้องยอมรับก่อนว่า Daddy Dough เป็นร้านโดนัทที่กำเนิดจากการเป็นธุรกิจครอบครัว ดังนั้น เราจึงไม่กล้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดที่มีอยู่อย่างแน่นอนอน แต่ในเมื่อเราเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ต้องสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น เพราะถ้าเราไปเดินตามเขาก็ไม่มีทางที่เราจะแชร์ตลาดผู้บริโภคได้ ซึ่งความแตกต่างที่ว่านั่นคือ ทำอย่างไรให้ Daddy Dough ของเราอร่อยและเป็นที่ถูกใจผู้รับประทานมากที่สุด คือต้องบอกก่อนว่า Daddy Dough ของเราจะทำเฉพาะโดนัทยีสต์ ซึ่งในตลาดปัจจุบันที่ทำอยู่จะมีโดนัทอยู่ 2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์กับโดนัทเค้กคุณ สมบัติของโดนัทยีสต์ คือ เนื้อแป้งจะไม่แข็งเหมือนโดนัทเค้ก และนี่เองที่ถือเป็นจุดเด่นของ Daddy Dough เนื้อแป้งโดนัทของเราละเอียด นุ่ม และเบา คือ เบาถึงขนาดเวลานำไปทอดจะไม่สามารถคืบหรือจับได้ เพราะถ้าคืบหรือจับโดนัทจะเบี้ยวและเสียทรงทันที ดังนั้น
ในกระบวนการทอดเราจึงใช้เครื่องจักร ซึ่งออกแบบมาเฉพาะลักษณะเป็นบล็อกๆ คล้ายแม่พิมพ์ เวลาทอดเนื้อแป้งก็จะลอยอยู่ในบล็อกเหนือน้ำมัน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เนื้อโดนัทไม่อมน้ำมัน เวลาทอดออกมาก็จะนุ่ม หอม อร่อย ให้ความรู้สึกที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา
นอกจากความละเอียด นุ่ม เบา ของเนื้อแป้งแล้ว จุดเด่นของ Daddy Dough อีกอย่างคือ แป้งที่นำมาใช้ผลิตจะมีกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เนื้อแป้งที่ใช้ผลิตมีทั้งหมด 5 รสชาติ คือ ช็อคโกแลต ผักโขม วนิลา กาแฟและซินนามอน ซึ่งสูตรแป้งทั้ง 5 รสชาตินี้ เป็นสูตรแป้งที่พัฒนามาจากสูตรดั้งเดิมของคุณพ่อ รวมถึงยังมีหน้าให้เลือกรับประทานกันอีก 45 ชนิด
สนใจอยากลองรับประทานโดนัทรสชาติเข้มข้น พร้อมบริการที่เป็นกันเองลองแวะไปชิมกันได้ ซึ่งตอนนี้ Daddy Dough
เขาเปิดให้บริการทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ สาขา ถ.สีลม อยู่ข้างโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สาขาตลาดบองมาเช่ สาขาสยามพารากอน (ชั้น G) สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (ชั้น 5 โซน Food Park) สาขาดิ อเวนิว รัชโยธิน และสาขา ถ.นราธิวาส (ติด BTS ช่องนนทรี) หรือจะลองโทรไปสอบถามก่อนที่เบอร์ 0-2635-0763-4
Daddy Dough โดนัทระดับพรีเมี่ยม ของคนไทยรายแรกและรายเดียว วันนี้สามารถขยายสาขาได้กว่า 6 สาขา และมีแนวโน้มว่า ร้านโดนัทของคนไทยรายนี้น่าจะสู้กับแบรนด์ดังของต่างชาติได้เลยทีเดียว
Daddy Dough เกิดขึ้นจากแนวคิดบนโต๊ะเล็กๆ ที่คุณปีเตอร์และครอบครัว คุยกันว่า ทำไมร้านโดนัทร้านนั้น ถึงมีคนต่อแถวซื้อกันเยอะง เพื่อนคุณพ่อที่นั่งอยู่ด้วยเขาก็บอกว่า ที่ประเทศประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีโดนัทแบรนด์หนึ่ง มีคนต่อแถวซื้อเหมือนกัน หลังจากนั้นก็คิดกันว่าทำไมเราไม่ลองเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ขึ้นมาสักร้าน
เพราะในอดีตคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เคยเปิดร้าเบเกอรี่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาก่อน และก็มีสูตรแป้งของตัวเองด้วย อีกอย่างเท่าที่ผมได้ยินมา ร้านค้าหรือแบรนด์สินค้าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากมีแค่ 2 ร้าน ในทางการตลาดเขาบอกว่ามันยังไม่บาลานส์ แต่ถ้ามี 3 ร้าน หรือ 3 แบรนด์ เขาบอกว่ามันจะพอดี เมื่อมามองถึงตลาดโดนัทในบ้านเรา ก็มีแข่งกันแค่ 2 แบรนด์เท่านั้น ถ้ามี Daddy Dough เป็นแบรนด์ที่ 3 ก็น่าจะสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น
หลังจากที่มองว่าตลาดโดนัทในบ้านเรา น่าที่จะสามารถเติบโตได้อีกมาก จากนั้นคุณปีเตอร์และครอบครัว จึงตัดสินใจทดลองเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ขึ้น
โดยอาศัยพื้นที่ข้างร้านอาหารย่านสีลมเป็นสถานที่ตั้ง แต่สำหรับร้านโดนัทขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มเปิดใหม่ อีกทั้งในตลาดก็มีเจ้าตลาดหรือแบรนด์ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว ดังนั้น การสร้างแบรนด์หรือการตั้งชื่อตัวสินค้าเพื่อให้เป็นที่ยอมรับหรือติดหูผู้บริโภค จึงนับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คุณปีเตอร์และครอบครัวให้ความสำคัญ
Daddy Dough เป็นชื่อที่น้องชายคุณปีเตอร์เป็นคนคิด แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการคิดไว้หลายชื่อ แต่สุดท้ายก็มาสรุปที่ Daddy Dough เพราะมันได้ทั้งในแง่ของการใช้คำที่สั้น กระชับ และความหมาย เพราะ Daddy Dough หมายถึง แป้งของพ่อ มันตรงคอนเซ็ปต์ของเรา เพราะสูตรแป้งต่างๆ ที่นำมาทำและพัฒนามาจนถึงวันนี้ เป็นสูตรแป้งที่คุณพ่อท่านเป็นคนคิดค้น
ซึ่งหลังจากที่เปิดร้านมาตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2549 เราก็ใช้ชื่อนี้ตลอดมา”
เนื่องจากเป็นร้านโดนัทที่เพิ่งเริ่มเปิดตัว ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่ชื่อร้านหรือแบรนด์สินค้าเท่านั้นที่ต้องสร้างเพื่อให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภค การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้า
เพื่อให้เป็นที่จดจำของผู้ซื้อก็เป็นอีกเหตุผลที่ต้องให้สำคัญ
คือต้องยอมรับก่อนว่า Daddy Dough เป็นร้านโดนัทที่กำเนิดจากการเป็นธุรกิจครอบครัว ดังนั้น เราจึงไม่กล้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดที่มีอยู่อย่างแน่นอนอน แต่ในเมื่อเราเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ต้องสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น เพราะถ้าเราไปเดินตามเขาก็ไม่มีทางที่เราจะแชร์ตลาดผู้บริโภคได้ ซึ่งความแตกต่างที่ว่านั่นคือ ทำอย่างไรให้ Daddy Dough ของเราอร่อยและเป็นที่ถูกใจผู้รับประทานมากที่สุด คือต้องบอกก่อนว่า Daddy Dough ของเราจะทำเฉพาะโดนัทยีสต์ ซึ่งในตลาดปัจจุบันที่ทำอยู่จะมีโดนัทอยู่ 2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์กับโดนัทเค้กคุณ สมบัติของโดนัทยีสต์ คือ เนื้อแป้งจะไม่แข็งเหมือนโดนัทเค้ก และนี่เองที่ถือเป็นจุดเด่นของ Daddy Dough เนื้อแป้งโดนัทของเราละเอียด นุ่ม และเบา คือ เบาถึงขนาดเวลานำไปทอดจะไม่สามารถคืบหรือจับได้ เพราะถ้าคืบหรือจับโดนัทจะเบี้ยวและเสียทรงทันที ดังนั้น
ในกระบวนการทอดเราจึงใช้เครื่องจักร ซึ่งออกแบบมาเฉพาะลักษณะเป็นบล็อกๆ คล้ายแม่พิมพ์ เวลาทอดเนื้อแป้งก็จะลอยอยู่ในบล็อกเหนือน้ำมัน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เนื้อโดนัทไม่อมน้ำมัน เวลาทอดออกมาก็จะนุ่ม หอม อร่อย ให้ความรู้สึกที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา
นอกจากความละเอียด นุ่ม เบา ของเนื้อแป้งแล้ว จุดเด่นของ Daddy Dough อีกอย่างคือ แป้งที่นำมาใช้ผลิตจะมีกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เนื้อแป้งที่ใช้ผลิตมีทั้งหมด 5 รสชาติ คือ ช็อคโกแลต ผักโขม วนิลา กาแฟและซินนามอน ซึ่งสูตรแป้งทั้ง 5 รสชาตินี้ เป็นสูตรแป้งที่พัฒนามาจากสูตรดั้งเดิมของคุณพ่อ รวมถึงยังมีหน้าให้เลือกรับประทานกันอีก 45 ชนิด
สนใจอยากลองรับประทานโดนัทรสชาติเข้มข้น พร้อมบริการที่เป็นกันเองลองแวะไปชิมกันได้ ซึ่งตอนนี้ Daddy Dough
เขาเปิดให้บริการทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ สาขา ถ.สีลม อยู่ข้างโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สาขาตลาดบองมาเช่ สาขาสยามพารากอน (ชั้น G) สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (ชั้น 5 โซน Food Park) สาขาดิ อเวนิว รัชโยธิน และสาขา ถ.นราธิวาส (ติด BTS ช่องนนทรี) หรือจะลองโทรไปสอบถามก่อนที่เบอร์ 0-2635-0763-4
Subscribe to:
Posts (Atom)