เชิญลงโฆษณาฟรี

สำหรับท่านที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้วขอเชิญลงโฆษณาฟรี
รายละเอียดดังนี้
ลงโฆษณาฟรี

8/08/2012

อาชีพขายขนมครก


ขนมครก
ขนมครกเป็นขนมไทยที่คุ้นหู คุ้นลิ้นและคุ้นตาคนไทยมานานแล้ว เนื่องจากรสชาติที่หอมมันของกะทิทำให้หลายคนติดใจและชื่นชอบ สมัยก่อนขนมครกนี้เป็นขนมที่ทำรับประทานกันในบ้าน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การทำขนมรับประทานเองในบ้านเป็นอะไรที่รู้สึกว่ายุ่งยาก ซื้อง่ายกว่า อาชีพทำขนมขายต่างๆ จึงเกิดขึ้น และในครั้งนี้เราขอแนะนำอาชีพที่ต้นทุนไม่สูง อุปกรณ์ไม่เยอะ อาศัยความชำนาญนิดหน่อย ลูกค้าก็ติดใจ นั่นคือ ขายขนมครก เพราะฉะนั้น เรามาขายขนมครกเป็นอาชีพเสริมกันดีกว่า

งินลงทุน
ประมาณ 4,000 บาท

อุปกรณ์ที่ใช้
1. เตาขนมครก
2. พิมพ์ขนมครกพร้อมฝาครอบ ถ้าจะให้ขนมหอม ก็ควรใช้พิมพ์ที่เป็นดินเผา แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้แบบโลหะแทนก็ได้
3. หม้อใส่แป้ง
4. ถ่าน
5. อุปกรณ์จิปาถะ เช่น กระทง ใบตอง หรือแผ่นโฟม
6. ถ้าไม่มีหน้าร้านก็อาจจะซื้อรถเข็น ราคาประมาณ 4,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)

วิธีทำขนมครกแบบมืออาชีพ
ขนมครกนั้นจะมี2 ส่วนคือ ส่วนของตัวแป้งและส่วนของหน้ากะทิ หน้านั้นดัดแปลงได้ตามยุคสมัย เช่นสมัยก่อน ใส่แค่ต้นหอมก็ขายดิบขายดีแล้ว แต่สมัยนี้ต้องเพิ่มหน้าเผือก ฟักทอง ข้าวโพด ฯลฯ มาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าด้วย

ส่วนผสมของตัวแป้ง
1. ข้าวสารเจ้า 1.5 กิโลกรัม
2. มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
3. น้ำเดือด 6 ลิตร
4. ข้าวสุก 1 ถ้วยตวง

การทำตัวแป้งขนมครก
ผสมส่วนผสมเกือบทุกอย่างเข้าด้วยกัน ยกเว้นน้ำเดือด ซึ่งจะต้องค่อยๆ ใส่ แล้วคนไปเรื่อยๆ จนน้ำเดือดหมด  ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงนำไปโม่ให้ละเอียด เอาแต่น้ำ พักไว้
ส่วนผสมหน้ากะทิ
1. มะพร้าวขูด 1.5 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทราย 0.5 กิโลกรัม
3. เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำเปล่า 6 ถ้วย

วิธีทำหน้ากะทิ
คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิ 9 ถ้วย ใส่น้ำตาลเกลือ คนให้น้ำตาลละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง พักไว้

วิธีการหยอดขนมครก
(ถาดพิมพ์ขนมครกนั้น ถ้าซื้อมาใหม่ๆ ก่อนใช้ครั้งแรกให้เช็ดด้วยไข่แดงก่อน แล้วจึงเช็ดด้วยน้ำมันพืช ส่วนครั้งต่อไป ให้ใช้น้ำมันพืชอย่างเดียว และเมื่อเลิกขาย ให้เช็ดพิมพ์ให้สะอาด และโบราณท่านว่าห้ามล้างโดยเด็ดขาดมิฉะนั้นขนมจะแคะยาก ติดพิมพ์)
1. นำถาดพิมพ์ขนมครกตั้งไฟอ่อนๆ เช็ดให้สะอาดด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อยให้ทั่วทุกหลุม
2. พอถาดร้อนก็ตักตัวแป้งหยอดลงหลุม ประมาณ ¾ เพราะต้องเผื่อเนื้อที่ให้หน้ากะทิด้วย หยอดประมาณ 3-4 หลุมก็หยอดหน้ากะทิตาม ทำเช่นนี้จนหมด ถ้าจะหยอดหน้าต่างๆ เช่น ต้นหอม เผือก ข้าวโพดก็หยอดตอนนี้เลย แล้วปิดฝาไว้ประมาณ 6 นาที
3. สังเกตขอบขนมครกเริ่มเป็นสีน้ำตาลก็ใช้ได้แล้ว

ราคาขายขนมครก ขายได้ตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป ประมาณ 8 คู่ หรือแล้วแต่หน้าขนม รายได้ของการขายขนมครกประมาณวันละ 500 บาท แล้วแต่ทำเล ถ้าได้หน้าตลาดหรือแหล่งชุมชนก็จะดีมาก และที่สำคัญต้องขายให้สม่ำเสมอ พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฝีมือดีซะอย่าง ต่อให้อยู่ในซอกหลืบ คนซื้อก็ยินดีมุดเข้าไปซื้อจนได้  confirm!!!


รวยด้วย ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู

ข้าวเกรียบปากหม้อ
ข้าวเกรียบปากหม้อ


ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู ฟังดูแล้วมันก็เป็นอาชีพธรรมดาที่พบเห็นกันได้ทั่วไป แต่ว่า ถ้าคุณมีฝีมือดี ขนมแป้งไม่หนาไม่บางเกินไป ไส้กลมกล่อม ราคาพอรับไหว ไม่แน่นะ กล้ามแขนคุณอาจจะโตขึ้นเพราะว่าต้องละเลงแป้งและปั้นแป้งตลอดเวลา เหมือนกับเจ้าขนมเจ้าหนึ่งแถวบ้านผู้เขียนที่เค้าจะปิดร้านก่อนร้านอื่น เพราะว่าของหมด แถมเวลาสั่งแล้วห้ามใจร้อน เพราะว่ามีอีกหลายคิวอีกต่างหาก ถือว่าคัดคนที่อยากกินจริงๆ หุหุ
ดังนั้น อาชีพเสริมอิสระวันนี้ จึงได้นำสูตรการทำข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูมาฝากกัน เพราะว่าขนม 2 อย่างนี้สามารถทำไปพร้อมๆ กันได้ 

เงินลงทุน 
ประมาณ 3,000 บาท (เฉพาะอุปกรณ์ คือ หม้อดินหรือหม้ออะลูมิเนียขนาดกลาง เตาถ่าน ไม้พายเล็กๆ ถาด ถุงพลาสติก (ร้อน) กล่องโฟม ไม้จิ้ม)

ข้าวเกรียบปากหม้อ
มีสองส่วนคือ ตัวแป้งและไส้แป้ง

ตัวแป้ง ส่วนผสมคือ
1. แป้งมันสำปะหลัง 1 กิโลกรัม
2. แป้งข้าวเจ้า 1 กิโลกรัม
3. น้ำ 4 กิโลกรัม

วิธีทำ
นำแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และน้ำมาผสมกัน

ไส้แป้ง ส่วนผสมคือ
1. หัวผักกาดหวาน 1 กิโลกรัม
2. น้ำตาลปี๊บ 1 กิโลกรัม
3. ถั่วลิสง 0.5 กิโลกรัม
4. หอมแดงหั่นละเอียด 1 กิโลกรัม
5. รากผักชีโขลกละเอียด 10 ราก
6. น้ำมันพืช 0.5 กิโลกรัม
7. เกลือ 0.5 ช้อนชา

วิธีทำไส้แป้ง
1. ล้างหัวผักกาดหวานให้สะอาดแล้วสับให้ละเอียด
2. คั่วถั่วลิสงเอาเปลือกออก แล้วตำไม่ต้องละเอียดนัก
3. ใส่น้ำมันลงกระทะ นำหอมแดงและรากผักชีมาผัดให้เหลือง
4. ใส่หัวผักกาดหวานสับ น้ำตาลปี๊บ เคี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วใส่เกลือเล็กน้อย คลุกให้ทั่ว
5. นำถั่วลิสงที่ตำมาคลุกับไส้ที่ผัดไว้ให้ทั่ว จะได้ไส้ที่มีความเหนียวพอดีๆ ตักใส่ชาม พักไว้

ลงมือขายกันเถอะ!!!
ข้าวเกรียบปากหม้อ
วิธีทำ
1. เอาน้ำใส่หม้อดินหรือหม้ออะลูมิเนียมประมาณ 3/4 หม้อ แล้วใช้ผ้าขาวบางขึงปากหม้อให้ตึง มัดด้วยเชือกรอบคอหม้อให้แน่นหนา แต่ต้องเหลือปากหม้อไว้เล็กน้อยเพื่อให้ไอน้ำออกได้
แล้วยกหม้อขึ้นตั้งไฟ ผิดฝา พอน้ำเดือดจึงเปิดฝาออก ตักแป้ง 1 ช้อน ต่อ 1 วง ละเลงเป็นวงกลมบนผ้า ให้ทั่ว แล้วปิดฝา
2.เมื่อแป้งสุก  เปิดฝาออกตักไส้หยอด อย่าให้มากเกินไปจนไม่เช่นนั้นเวลาพับแป้งจะไม่สวย ไส้ทะลักออกมา
3. ใช้ไม้พายเล็กๆ ชุบน้ำ แซะแผ่นแป้งจากด้านล่าง พับเป็นสี่เหลี่ยมห่อไส้ให้สวยงาม ตักใส่ถาด พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียวเพื่อไม่ให้ขนมติดกัน
4. เวลาตักขายก็ใส่กล่องโฟมที่รองด้วยใบตอง แล้วแถมเครื่องเคียง คือ ผักกาดหอม ผักชี พริกสด กระเทียมเจียว และที่สูตรเด็ดคือ หัวกะทิข้นๆ สัก5 ช้อนโต๊ะใส่ถุงเล็กๆ มัดปิดปากไปให้ด้วย เพราะผู้เขียนเคยชิมทั้งชนิดที่มีกะทิให้และไม่มีกะทิให้ รสชาติขนมที่มีกะทิราดจะครบรสจริงๆ ทั้งหวานเค็มมันเผ็ด อร่อยสุดๆ

และยังมีขนมที่อีกแบบที่ทำคู่กันไปได้ แบบแบ่งพื้นที่ครึ่งๆ ของผ้าขาวบ้าง นั่นคือ สาคูไส้หมู (ชื่อบอกว่าไส้หมู แต่สังเกตเวลาเค้าขาย ก็ไม่ได้แยกไส้กันนะคะ ก็ใช้ใส่แบบเดียวกันกับข้าวเกรียบปากหม้อ สงสัยเป็นไส้หมูเจล่ะมั้ง)
เรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนการทำกัน
ส่วนผสมของสาคูไส้หมู
1. สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วยตวง
2. น้ำร้อน 1/2 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ
1. นำสาคูมานวดกับน้ำร้อนจนแป้งสุกกึ่งๆ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ได้ กดให้แบน แล้วนำไส้ใส่ตรงกลาง ดึงแป้งสาคูปิดให้มิดชิด ปั้นเป็นก้อนกลม เรียงบนปากหม้อ ปิดฝา พอสุกตักใส่ถาด พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว พร้อมตักขาย
2. เวลาขายก็ตักใส่กล่องโฟมที่รองด้วยใบตอง แล้วแถมเครื่องเคียง คือ ผักกาดหอม ผักชี พริกสด กระเทียมเจียวโรยหน้า

ถ้าบางคนคิดว่า พื้นที่ผ้าขาวบางมันไม่พอที่จะทำขนมทั้งสองอย่าง ก็สามารถแยกสาคูมานึ่งต่างหากในลังถึงได้ แต่ต้องรองด้วยใบตองที่เช็ดให้สะอาดเสียก่อน ปริมาณขนมที่ได้ก็จะเยอะขึ้น ทันกับลูกค้าที่มารอต่อคิว

ราคาขาย 25-30 บาทต่อชุด

แต่อย่างไรก็ตามคนที่คิดจะค้าขายต้องมีความอดทน ขยัน พากเพียร  ดังสุภาษิตคนค้าขายที่ผู้เขียนขอฝากไว้ "อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา"